พนักงานสหรัฐ 47% เคย Revenge Quitting หนีตาย บริษัทเป็นพิษไม่ไหว

พนักงานสหรัฐ 47% เคย Revenge Quitting หนีตาย บริษัทเป็นพิษไม่ไหว

ผลสำรวจ ชี้ พนักงานสหรัฐเกือบครึ่ง ยอมรับเคยใช้ ‘Revenge Quitting’ ลาออกล้างแค้น! เมื่อบริษัทเป็นพิษไม่เคยดีขึ้น

KEY

POINTS

  • Revenge Quitting มาแรงไม่หยุดในปี 2025 สัญญาณวิกฤติความผูกพันในองค์กร พนักงานในสหรัฐฯ เกือบครึ่ง (47%) ยอมรับว่าเคยใช้วิธีนี้ (ลาออกล้างแค้นไม่แจ้งล่วงหน้า) เพื่อประท้วง บริษัทที่เป็นพิษ
  • แรงจูงใจหลักไม่ใช่แค่เงิน แต่เป็นสภาพจิตใจ สาเหตุหลักของการลาออกล้างแค้นคือ วัฒนธรรมที่เป็นพิษ (32%) และ ภาวะผู้นำที่ย่ำแย่ (31%) สะท้อนความรู้สึกที่พนักงานถูกมองข้าม
  • ผู้เชี่ยวชาญเตือน การลาออกด้วยความโกรธ อาจทำลายชื่อเสียงวิชาชีพระยะยาว คนทำงานควรเปลี่ยนความโกรธเป็น การวางแผนอย่างชาญฉลาด เพื่อลาออกอย่างมืออาชีพ โดยเน้นการส่งต่องานที่ดีและการรักษาความสัมพันธ์เพื่อไม่ให้กระทบต่อโอกาสในอนาคต

สัญญาณอันตราย! ผลสำรวจชี้ พนักงานบริษัทในสหรัฐฯ เกือบ 50% ยอมรับว่าตนเองเคยใช้วิธี Revenge Quitting ‘ลาออกล้างแค้น’ ทิ้งงาน ไม่สนว่าต้องมีมารยาท เหตุเพราะต้องการประท้วงหัวหน้าและองค์กรเป็นพิษ ที่ไม่เคยแก้ไขให้ดีขึ้น ปรากฏการณ์ Revenge Quitting หรือ การลาออกล้างแค้น โดยไม่แจ้งล่วงหน้ากำลังกลายเป็นเทรนด์แรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าตกใจ 

ชวนหาคำตอบ..ทำไมปีนี้คนทำงาน ยอมทิ้งงานเพื่อประท้วงการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษกันหนักมากขึ้น

นี่ไม่ใช่แค่การลาออกรายบุคคล แต่คือสัญญาณเตือนของวิกฤติความผูกพันในองค์กร อาจส่งผลต่ออัตราการ Turnover และภาพลักษณ์ของบริษัท และนี่คือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยให้คุณลาออกอย่างชาญฉลาดโดยไม่ทำลายชื่อเสียง

พนักงานยอมรับเอง เคย "ลาออกล้างแค้น" เพื่อประท้วงงานในปี 2025

ผลสำรวจล่าสุดจาก Monster แพลตฟอร์มหางานชั้นนำ เผยว่า ปรากฏการณ์ Revenge Quitting (การลาออกฉับพลันเพื่อประชดหรือแก้แค้น) เป็นมากกว่าแค่เรื่องช็อก แต่มันคือสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการ "ไม่ผูกพัน" กับองค์กร ที่ฝังลึกเข้าไปถึงระบบโครงสร้างการทำงาน

จากการสำรวจพนักงานในสหรัฐอเมริกามากกว่า 3,600 คน Monster พบตัวเลขที่น่าตกใจว่า 47% ของคนทำงานยอมรับว่า พวกเขาเคยลาออกจากงานอย่างกะทันหันโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

ทั้งนี้นิยามของ Revenge Quitting หมายถึง การลาออกเพราะความโกรธหรือความไม่พอใจที่สะสมมานาน มักจะแจ้งลาออกแบบปุบปับ ไม่แจ้งล่วงหน้า ไม่ส่งต่องาน โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงาน Gen Z ที่รู้สึกว่าองค์กรไม่ให้ความเคารพ หรือไม่ตอบโจทย์ชีวิตการทำงาน เช่น การมีคำสั่งบังคับให้กลับเข้าออฟฟิศหลังโควิด (RTO) เป็นต้น

เทรนด์นี้คล้ายกับปรากฏการณ์อื่นๆ ที่สะท้อนความอัดอั้นในวัฒนธรรมการทำงานยุคปัจจุบัน เช่น “Rage Quitting” (ลาออกเพราะโกรธจัด), “Rage Applying” (ยื่นสมัครงานใหม่แบบรัวๆ เวลารู้สึกถูกบริษัทปัจจุบันเอาเปรียบ) หรือแม้แต่ “Career Catfishing” (องค์กรหลอกล่อให้เข้าทำงานแต่สภาพจริงไม่เป็นไปตามสัญญา)

ตามรายงานยังระบุด้วยว่า Revenge Quitting ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแบบโดดๆ แค่ตามกระแสผิวเผิน แต่เป็นพฤติกรรมคนทำงานที่สะท้อนถึงปัญหาระดับลึกในวัฒนธรรมองค์กร โดย 57% ของพนักงานเคยเห็นเพื่อนร่วมงานอย่างน้อยหนึ่งคนลาออกในลักษณะนี้ และที่น่าตกใจคือ 87% เชื่อว่าการลาออกประชดเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เมื่อเจอสภาพแวดล้อมในที่ทำงานย่ำแย่

"การลาออกกะทันหันไม่ใช่แค่การจากไปของคนคนเดียว แต่เป็นสัญญาณเตือนที่ส่งแรงกระเพื่อมใหญ่ไปทั่ววัฒนธรรมในที่ทำงาน เมื่อพนักงานเกือบครึ่งพร้อมที่จะเดินออกไป โดยไม่แจ้งล่วงหน้า นั่นหมายความว่าพวกเขาหมดศรัทธาในผู้บริหาร ขาดความเคารพ หรือมองไม่เห็นโอกาสในการเติบโตแล้ว" วิคกี้ ซาเลมี (Vicki Salemi) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพของ Monster อธิบาย

อะไรคือปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้พนักงานลาออกฉับพลัน ?

ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าแรงจูงใจที่ทำให้พนักงานตัดสินใจ Revenge Quitting โดยไม่แจ้งล่วงหน้าไม่ได้มาจาก "เงินเดือน" เพียงอย่างเดียว แต่มาจากเหตุผลด้านอารมณ์ ความรู้สึก และเหตุผลด้านอื่นๆ ที่จับต้องไม่ได้ ได้แก่

พนักงาน 32% รู้สึกว่าวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษหรือไม่ให้ความเคารพ
พนักงาน 31% มองว่าผู้นำลีดทีมได้ย่ำแย่หรือขาดความไว้วางใจในผู้นำ
พนักงาน 23% รู้สึกว่าถูกมองข้ามหรือถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง

การลาออกล้างแค้น ไม่ได้หมายถึงการคิดว่าอยากจะลาออกแล้วเดินออกไปทันทีเสมอไป ตามข้อมูลของ Monster แสดงให้เห็นว่าพนักงานจำนวนมากทนอยู่ในความไม่พอใจเป็นเวลาหลายเดือน หรือแม้แต่หลายปี ก่อนจะถึงจุดแตกหัก และในที่สุดก็ตัดสินใจเขียนใบลาออกเดี๋ยวนั้นเลย โดยมีรายละเอียดพบว่า 

18% ของพนักงานที่ Revenge Quitting อยู่ทำงาน 2 ปีขึ้นไป ก่อนจะลาออก
10% ของพนักงานที่ Revenge Quitting อยู่ทำงาน 1 ถึง 2 ปี
9% ของพนักงานที่ Revenge Quitting อยู่ทำงาน 6 ถึง 12 เดือน
17% ของพนักงานที่ Revenge Quitting ลาออกภายใน 6 เดือน

ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่าความไม่พอใจมักจะสั่งสมมาเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงเป็น "ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ" ที่นายจ้างควรเร่งเข้าแก้ไขสถานการณ์ ก่อนที่ความไม่พอใจจะกลายเป็นการลาออก พูดง่ายๆ ว่า ควรจัดการกับปัญหาวัฒนธรรมองค์กรตั้งแต่เนิ่นๆ จึงจะสามารถช่วยลดอัตราการลาออกและฟื้นความไว้วางใจกลับมาได้

เตือนพนักงาน ลาออกได้ แต่ต้องทำอย่างมีสติและชาญฉลาด

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า Revenge Quitting อาจเป็นการตัดสินใจที่ขาดสติ แม้จะรู้สึกสะใจในช่วงเวลานั้น แต่ในระยะยาวอาจกระทบต่อชื่อเสียงวิชาชีพ และโอกาสในการได้งานในอนาคต เช่น ได้รีวิวไม่ดีจากเจ้านายเก่า หรือไม่ได้จดหมายรับรองเมื่อสมัครงานใหม่

หากคุณเป็นอีกคนที่กำลังคิดจะลาออก ลองมาฟังคำแนะนำจาก "เอเวอรี มอร์แกน" (Avery Morgan) ประธานฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ EduBirdie ที่มาแชร์ วิธีลาออกอย่างชาญฉลาด โดยไม่ทำลายชื่อเสียงตัวเอง ดังนี้

1. ฝึกพูดจาแจ้งลาออกให้เหมาะสม เป็นมืออาชีพ

การแจ้งลาออกอาจเป็นช่วงเวลาที่อึดอัด มอร์แกน แนะนำให้เตรียมตัวและซ้อมพูดไว้ล่วงหน้า ประโยคที่ควรใช้ควรเน้นความเป็นมืออาชีพและขอบคุณ เช่น “ฉันรู้สึกขอบคุณที่ได้ร่วมงานกับบริษัทนี้ แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันจะต้องมองหาความท้าทายใหม่ที่สอดคล้องกับเป้าหมายอาชีพของฉัน” สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ การอธิบายที่ยืดยาวมากเกินไป

2. อย่าปิดประตูความสัมพันธ์ในอนาคต

แม้ว่างานเก่าจะไม่น่าจดจำเท่าไร แต่ควรพยายามจากลาอย่างมีน้ำใจ บอกหัวหน้าว่าคุณชื่นชมอะไรในบทบาทนี้ และขอจดหมายรับรองหากเหมาะสม สำหรับเพื่อนร่วมงานที่สนิทใจ ควรส่งข้อความสั้น ๆ นัดพบ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้เผื่อในอนาคตอาจได้ร่วมงานกันอีก

3. ตั้งขอบเขตชัดเจน ถ้าเจอข้อเสนอยื่นกลับ

เมื่อพนักงานแจ้งลาออก บ่อยครั้งที่บริษัทอาจเสนอเพิ่มเงินเดือน ตำแหน่ง หรือสวัสดิการอื่น ๆ เพื่อให้เปลี่ยนใจ ควรตัดสินใจไว้ล่วงหน้าว่าคุณเปิดโอกาสให้เจรจาไหม ถ้าคุณตัดสินใจแน่วแน่ ควรตอบแบบตรงไปตรงมา เช่น “ขอบคุณสำหรับข้อเสนอมากค่ะ/ครับ แต่ฉันตัดสินใจแน่นอนแล้ว” การตั้งขอบเขตชัดเจนแบบนี้จะช่วยให้ไม่ตัดสินใจด้วยความรู้สึกผิด

4. วางแผนส่งต่องานอย่างมืออาชีพ

ก่อนจากลาจากที่ทำงานเดิม ควรมีการเตรียมตัวให้ทีมสามารถเดินหน้าต่อได้โดยไม่สะดุด เช่น จัดทำเอกสารสรุปขั้นตอนงาน และโปรเจกต์ที่ค้างอยู่ และอย่าลืมส่งอีเมลขอบคุณทีมในวันสุดท้ายด้วยคำขอบคุณที่จริงใจ ซึ่งสิ่งนี้สามารถสร้างความรู้สึกดีและสร้างการจดจำได้ในระยะยาว

เชื่อเหลือเกินว่าในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชีพพุ่ง ผลกระทบจาก AI ดิสรัปต์ และงานหายากแบบนี้ คงไม่มีพนักงานคนไหนอยากลาออกจากงานเดิม ถ้าพวกเขายังไปต่อไหว แต่รายงานฉบับนี้ กำลังเป็นกระจกสะท้อนว่า วัฒนธรรมองค์กรที่ย่ำแย่และภาวะผู้นำที่เป็นพิษ คือต้นทุนที่แพงที่สุดในโลกธุรกิจ

ในมุมของนายจ้าง หากเห็นความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร ก็ไม่ควรมองข้าม "ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ" ที่ต้องเลือกระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างเพื่อรักษาสมดุลกำลังคนเอาไว้ แม้บางส่วนจะใช้ AI ทำงานแทนได้ แต่คงไม่ใช่กับทุกตำแหน่งแน่ๆ 

ขณะเดียวกันสำหรับคนทำงานควรเตือนตัวเองว่า การลาออกด้วยอารมณ์อาจจะได้ความสะใจชั่วคราว แต่จะทิ้งรอยแผลเป็นทางวิชาชีพตลอดไป ก่อนที่คุณจะกดปุ่มส่งอีเมลลาออกฉับพลัน จงเปลี่ยน "ความโกรธ" ให้เป็น "อำนาจ" แล้ววางแผน จากไปอย่างมืออาชีพ นี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้คุณเป็นผู้ชนะที่แท้จริงในเกมแห่งอาชีพนี้ ..อย่าเป็นเหยื่อ แต่จงเป็นผู้กำหนดเกม..

 

 

อ้างอิง: CPA PracticeAdvisor, Monster