Gen Y เรียนจบสูงแต่หางานยาก ทุ่มเทสุดตัวแต่ทำไมชีวิตไปไม่ถึงไหน

Gen Y เรียนจบสูงแต่หางานยาก ทุ่มเทสุดตัวแต่ทำไมชีวิตไปไม่ถึงไหน

Gen Y รุ่นที่เรียนจบสูงที่สุด แต่กลับหางานยากที่สุด ถูกปฏิเสธเพราะ “วุฒิสูงเกินไป” แถมจิตใจย่ำแย่ ไล่ล่าความสำเร็จตามมาตรฐานโซเชียลจนรู้สึกชีวิตไปไม่ถึงไหน

KEY

POINTS

  • แม้คนรุ่นมิลเลนเนียล (Gen Y) จะเป็นรุ่นที่เรียนสูงที่สุด แต่กลับเผชิญตลาดงานที่ซับซ้อนกว่ารุ่นก่อน ถูกปฏิเสธเพราะ “วุฒิสูงเกินไป” โอกาสถูกจำกัดด้วยสายสัมพันธ์ และงานมั่นคงที่เคยเป็นมาตรฐานเริ่มหายไปเรื่อยๆ   
  • แรงกดดันทางเศรษฐกิจ ทำให้จิตใจ Gen Y รุมเร้าหนักที่สุด คนรุ่นนี้ทำตามสูตรเดิมทุกอย่าง เรียนสูงๆ หางานบริษัทชื่อดัง ทำงานหนัก ซื่อสัตย์ต่อองค์กร แต่กลับเจอวิกฤติเศรษฐกิจ ค่าครองชีพพุ่ง ไล่ล่าความสำเร็จตามมาตรฐานโซเชียลจนรู้สึก “ชีวิตไปไม่ถึงไหน” 
  • อนาคตของความสำเร็จ ไม่ต้องพึ่ง “ใบปริญญา” อีกต่อไป คนรุ่นนี้จึงหันไปสร้างเส้นทางตัวเอง (เป็นผู้ประกอบการ หาเมนทอร์ สร้างเครือข่าย) เพราะในโลกใหม่ ความสามารถในการปรับตัว ความยืดหยุ่น และหาสมดุลชีวิต คือกุญแจสำคัญ

รู้หรือไม่? Gen Y คือเจนเนอเรชันที่มีประชากรในรุ่นเรียนจบสูงที่สุด แต่กลับหางานยากที่สุด และต้องเผชิญวิกฤติหนักกว่าที่เคยถูกคนรุ่นก่อนๆ สอนให้เชื่อ ตามรายงานของ PEW Research Center ระบุว่า แม้ Gen Y จะเป็นคนรุ่นที่ได้รับการศึกษาสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ แต่ชาวมิลเลนเนียล กลับพบว่าตัวเองอยู่ในตลาดแรงงานที่เข้มงวดยิ่งกว่ารุ่นพ่อแม่ และยากกว่าที่ระบบเคยสัญญาไว้เสียอีก

หลายคนเรียนจนถึงระดับสูงสุด ทั้งปริญญาตรี โท หรือแม้แต่จบปริญญาเอก แต่กลับถูกบริษัทปฏิเสธว่า “คุณสมบัติเกินความจำเป็น” หรือไม่ก็ต้องเริ่มต้นจากตำแหน่งล่างสุดเหมือนไม่มีวุฒิอะไรติดตัวมาเลย

ยิ่งน่าขมขื่นกว่านั้นคือ คนรุ่นที่ถูกสอนให้เชื่อว่าการศึกษาเป็น “ตั๋วทองสู่อาชีพการงานที่ดีและมั่นคง” แต่พวกเขากลับกลายเป็นรุ่นที่เจออุปสรรคด้านเศรษฐกิจและอาชีพหนักที่สุด ต้องเผชิญทั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นทุกด้าน และโครงสร้างงานที่เปลี่ยนไป จนใบปริญญาไม่รับประกันงานดีเงินเดือนสูงได้อีกต่อไป แม้จะ “ทำทุกอย่างถูกต้องตามสูตร” แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้ใกล้เคียงสิ่งที่ถูกสอนให้หวังเลยสักนิด 

..ไม่แปลกที่วัยทำงานรุ่นมิลเลนเนียล จะมีคำถามผุดขึ้นมาในใจว่า “เมื่อทำตามแผนและเซ็ตเส้นทางอาชีพตามบรรทัดฐานที่ควรจะเป็นทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมชีวิตการทำงานถึงยังไม่ไปไหน?”

เรียนสูง ทำงานหนัก แต่โอกาสด้านอาชีพกลับไม่เพิ่มมากขึ้น

มิเชลล์ อองตัวเนต แรงคิน (Michelle Antoinette Rankine) ผู้ประกอบการและเจ้าของแฟรนไชส์ ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ของตนเองว่า ตั้งแต่ช่วงที่เรียนจบมหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรี เธอก็เริ่มรู้แล้วว่าความพยายามไม่ได้นำไปสู่โอกาสอย่างที่คิด เธอสมัครฝึกงานและหางานระดับเริ่มต้นทุกอย่างที่หาได้ แต่ผู้ที่ได้งานกลับเป็นคนที่ “รู้จักกันในแวดวง” มากกว่าจะเลือกคนนอก เพราะระบบไม่ได้ให้รางวัลกับคนที่พยายามที่สุด

ทั้งที่เธอมีวุฒิครบทั้งตรี-โท-เอก แต่กลับเจอคำตอบวนลูปเดิมๆ ว่า “คุณสมบัติสูงเกินไป” หรือ “ควรเริ่มจากงานระดับล่างสุดก่อน” ขณะเดียวกัน คนที่มีวุฒิการศึกษาน้อยกว่าเธอมาก กลับได้ตำแหน่งที่ดีกว่าเพียงเพราะมีสายสัมพันธ์ที่เหนือกว่า ..นี่คือประสบการณ์ที่คนรุ่นมิลเลนเนียลจำนวนมากมีร่วมกัน และมันไม่ใช่ สิ่งที่คิดขึ้นมาเอง

ระบบการศึกษาเดิม + เศรษฐกิจเปลี่ยนเร็ว = สูตรอาชีพที่ใช้ไม่ได้ผล

เอเบเนเซอร์ อัลเลน (Ebenezer Allen) ผู้ก่อตั้ง Westlink Academy อธิบายว่า มิลเลนเนียลได้รับ “แผนที่ชีวิตแบบเก่า” แล้วถูกคาดหวังให้เดินตามเส้นทางเดิม กล่าวคือ เรียนมหาวิทยาลัย ก่อหนี้ ทำงานหนัก ซื่อสัตย์กับองค์กร แต่เมื่อเข้าตลาดงานจริง พวกเขากลับต้องเจอวิกฤติเศรษฐกิจหลายระลอก เงินเฟ้อที่บีบเข้ามาทุกด้าน และตลาดงานที่ถูก AI และระบบ Gig Economy ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกการทำงานอย่างหนัก

ดังนั้น แม้พวกเขาหลายคนจะมีวุฒิการศึกษาสูง แต่กลับต้องติดอยู่ในงานที่รายได้น้อยกว่า สวัสดิการน้อยกว่า และความมั่นคงต่ำกว่ารุ่นพ่อแม่ ที่เคยได้งานดีๆ โดยไม่ต้องมีปริญญาด้วยซ้ำ

อัลเลนชี้ว่า ความกังวลของคนรุ่นนี้ “เป็นความจริงที่สัมผัสได้” เพราะแม้กระทั่งการเรียนรู้ทักษะใหม่เพื่อไม่ตกงาน ก็กลายเป็นเรื่องของ “การอยู่รอด” มากกว่า “การเลื่อนขั้น” ไปเสียแล้ว และการย้ายงานบ่อยก็มักถูกตำหนิ ทั้งที่จริงๆ แล้วคือการปกป้องตัวเองในระบบที่ไม่ให้ความมั่นคงเหมือนเดิมอีกต่อไป

ทำทุกอย่างตามสูตรแล้ว ทำไมยังรู้สึกชีวิตไม่ประสบความสำเร็จ?

สำหรับ ดร.ไบรอัน นวันนูนู (Dr. Brian Nwannunu) แพทย์และที่ปรึกษาคนรุ่นใหม่ สะท้อนความเห็นในประเด็นนี้ว่า ปัญหานี้ไม่ได้มีแค่ด้านเศรษฐกิจ แต่กระทบจิตใจด้วย คนทำงานรุ่น Gen Y ถูกสอนให้ไล่ตามตำแหน่ง เงินเดือน และความสำเร็จแบบเช็กลิสต์ จนลืมมองว่า เป้าหมายเหล่านั้นอาจไม่เคยมีจุดนั้นอยู่จริงๆ

ในขณะที่ วัยทำงานรุ่น Gen Z พวกเขากล้าแหกขนบวัฒนธรรมการทำงานแบบดั้งเดิม กล้าพัก กล้าหยุดงาน และตั้งขอบเขตให้ตัวเอง ขณะที่คนรุ่นมิลเลนเนียลกลับรู้สึกว่า “หยุดไม่ได้” เพราะกลัวจะโดนทิ้งไว้ข้างหลัง

นวันนูนูยังทิ้งประโยคชวนคิดว่า “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องมีเงินหลักแสนหรือหลักล้านถึงจะใช้ชีวิตได้ดี สิ่งที่เราเห็นในโซเชียล บางครั้งเป็นแค่การอวดโชว์ช่วงเวลาที่สวยที่สุดของใครสักคนเท่านั้น ซึ่งไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมดของชีวิตเขาเลย”

ถอดใจงานประจำ หันหาธุรกิจส่วนตัว ไม่ใช่ความฝันแต่คือทางรอด

ตัดภาพกลับมาที่ มิเชลล์ อองตัวเนต แรงคิน เธอบอกด้วยว่า การเป็นผู้ประกอบการคือเส้นทางที่ทำให้เธอมีรายได้และอิสระ มากกว่าที่งานประจำเคยให้ แม้ยังมีหนี้การศึกษาอยู่มาก แต่เธอสามารถวางแผนเกษียณก่อนวัย และรู้สึกว่าควบคุมชีวิตตัวเองได้มากกว่า

เธอมองว่านี่คือหนึ่งในคำตอบต่อ “สัญญาลวง” ที่สถาบันต่างๆ เคยบอกกับคนรุ่น Gen Y เพราะความสำเร็จของเธอในตอนนี้ไม่ใช่งานตำแหน่งหรู ในบริษัทชื่อดัง แต่คือเวลา อิสระ และความยืดหยุ่นในชีวิต

ส่วนในมุมของโลกโซเชียลที่มักแชร์ชีวิตสวยหรูนั้น แรงคินอธิบายว่า โซเชียลมีเดียทำให้ชาวมิลเลนเนียลรู้สึกว่า ตัวเองช้ากว่าคนอื่น ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่เห็นคือ “ตอนจบที่ถูกเลือกมาโพสต์” ไม่ใช่ความจริงทั้งเรื่อง

เธอบอกว่า “ตอนคุณกำลังลุยงานหนัก คุณไม่มีเวลามาโพสต์หรอก แต่พอถึงวันที่โพสต์ได้ มันเลยดูเหมือนได้ดีแบบชั่วข้ามคืน ทั้งที่ไม่ใช่เลย”

Gen Y รุ่นเดอะแบกที่ถูกทุกวิกฤติทดสอบ แต่ยังต้องลุกขึ้นเดินต่อไป

แรงคินพูดถึงมิลเลนเนียลว่าเป็นรุ่นที่ถูกหล่อหลอมทั้งจากเหตุการณ์ 9/11 วิกฤติเศรษฐกิจปี 2008 โควิด-19 เงินเฟ้อ และอีกมากมาย สิ่งที่ดูเหมือน “ความยืดหยุ่น” จริงๆ แล้วอาจเป็นเพียง “สัญชาตญาณเอาตัวรอด” ที่ต้องทำเพราะไม่มีทางเลือกอื่น “เราต้องเดินต่อ ไม่งั้นก็อยู่ไม่ได้” เธอบอกย้ำ

ท้ายที่สุด…คำถามที่ว่าทำไม Gen Y เป็นรุ่นที่เรียนจบสูงที่สุด แต่กลับยังต้องดิ้นหนักที่สุด? คำตอบอาจเป็นเพราะ พวกเขาเจอกติกาชีวิตเปลี่ยนไปโดยที่ไม่มีใครเตือนได้ล่วงหน้า ไม่ว่าเศรษฐกิจเปลี่ยน ระบบงานเปลี่ยน ต้นทุนชีวิตสูงขึ้น และใบปริญญาก็ไม่ใช่ตั๋วทองอีกต่อไป

อัลเลนมองว่า ความมั่นคงในอนาคตจะมาจาก “ทักษะการปรับตัว” ไม่ใช่วุฒิการศึกษา ขณะที่ แรงคิน เชื่อว่า “เมนทอร์และเครือข่าย” คือพลังเร่งการเติบโตในเส้นทางอาชีพ ส่วนแพทย์อย่าง นวันนูนู เตือนว่า สิ่งที่วัยทำงานควรโฟกัสที่สุดคือ “สมดุลชีวิต” ไม่ใช่ตัวเลขที่แข่งขันกันไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

อ้างอิง: Forbes, PEW Research CenterMichelleRankine Phd.