เทรนด์ QuitTok แนะให้คนลาออก Gen Z ฟังคำแนะนำโซเชียลกว่าหัวหน้า

เทรนด์ QuitTok แนะให้คนลาออก Gen Z ฟังคำแนะนำโซเชียลกว่าหัวหน้า

63% ของ Gen Z ฟังคำแนะนำจาก TikTok มากกว่าหัวหน้า ส่วนใหญ่แนะให้ลาออกจากงาน ซึ่งวัยทำงาน 22% ก็ลาออกจริง สะท้อนว่าคนยุคนี้มองโซเชียลมีเดียเป็นที่ปรึกษาด้านอาชีพ

KEY

POINTS

  • เทรนด์ "QuitTok" คือการที่พนักงาน Gen Z ถ่ายคลิปวิดีโอประกาศลาออกจากงานของตนเองลงบน TikTok ซึ่งกลายเป็นกระแสไวรัลและสะท้อนค่านิยมใหม่ในการทำงาน
  • โซเชียลมีเดีย ได้กลายเป็นที่ปรึกษาด้านอาชีพหลักของคน Gen Z โดยผลสำรวจชี้ว่า 22% เคยตัดสินใจลาออกจริงจากอิทธิพลของแพลตฟอร์มเหล่านี้
  • Gen Z มีความคาดหวังต่อการเติบโตในอาชีพที่รวดเร็วขึ้น เช่น ต้องการได้เลื่อนตำแหน่งภายในปีแรก และยึดถือปรัชญา "Act Your Wage" หรือทำงานแค่ตามหน้าที่เท่านั้น
  • ค่านิยมเรื่อง "งานที่ดี" ของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไป โดยให้ความสำคัญกับความโปร่งใสของเงินเดือน การเคารพเวลาส่วนตัว และมองว่าการเปลี่ยนงานเพื่อความก้าวหน้าไม่ใช่เรื่องผิด

ตำราอาชีพแบบเดิมที่เคยสอนให้วัยทำงาน “อดทน ทำงานหนัก รอคอยโอกาส” กำลังถูกปิดหน้าอย่างเงียบๆ และแทนที่ด้วยวิดีโอบน TikTok ความยาวไม่ถึงหนึ่งนาที ที่สอนทั้งวิธีเอาตัวรอดในออฟฟิศ ไปจนถึง…วิธีลาออกแบบเรียลไทม์

หนึ่งในเทรนด์ที่สะท้อนพลังกระแสนี้ได้ชัดที่สุดคือ “QuitTok” ซึ่งเป็นกระแสที่พนักงานคนรุ่น Gen Z ถ่ายวิดีโอประกาศลาออกของตัวเอง แล้วโพสต์ลง TikTok แบบไม่ปิดบังอารมณ์จริง ไม่ว่าจะเป็นความผิดหวัง ความโล่งใจ หรือความไม่พอใจต่อองค์กร โดยคลิป QuitTok จำนวนมากกลายเป็นไวรัลในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เพราะมักจะถูกแชร์ต่อ ถูกหยิบมาเป็นประเด็นถกเถียง และถูกใช้เป็น “คู่มืออาชีพ” สำหรับคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย

ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความบันเทิงแบบไวๆ แต่เผยให้เห็นจุดเปลี่ยนทางวัฒนธรรมว่า Gen Z มองความโปร่งใสและความซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง สำคัญกว่าการรักษาภาพลักษณ์ตามตำราองค์กรยุคเก่า อีกทั้งกระแส QuitTok ก็เป็นหลักฐานว่า โซเชียลมีเดียได้เข้ามาแทนที่ฝ่าย HR และตำราเดิมๆ ในการกำหนดความคิดและการตัดสินใจด้านอาชีพของคนรุ่นนี้

Gen Z ฟังคำแนะนำจากโลกโซเชียล มากกว่าหัวหน้า

ผลสำรวจล่าสุดจาก Gateway Commercial Finance ยิ่งตอกย้ำภาพนี้ โดยพบว่า 63% ของคนทำงาน Gen Z รับคำแนะนำเรื่องงานจากโซเชียลโดยตรง และ 22% เคยลาออกจริงๆ จากอิทธิพลจากสิ่งที่เห็นบนแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Reddit

เมื่อข้อมูล การตัดสินใจ และการตีความความสำเร็จในที่ทำงาน ถูกกำหนดโดยคลิปวิดีโอและประสบการณ์จริงของเพื่อนร่วมรุ่นในออนไลน์ โลกการทำงานแบบเก่าที่เคยใช้เวลาเป็นปีเพื่อพิสูจน์ตัวเอง จึงเริ่มไม่สอดคล้องกับความคาดหวังและจังหวะการเติบโตของ Gen Z อีกต่อไป

นี่คงไม่ใช่แค่ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ อีกต่อไป แต่มันกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนให้วัฒนธรรมการทำงานในระดับโครงสร้าง

โซเชียลมีเดียกลายเป็นที่ปรึกษาอาชีพแทนมนุษย์

สำหรับคนรุ่นก่อน หัวหน้าหรือรุ่นพี่ในออฟฟิศคือ “ผู้ให้คำแนะนำ” แก่คนทำงานจากรุ่นสู่รุ่น แต่สำหรับ Gen Z ผู้ให้คำแนะนำพวกเขาคือ เหล่าชาวเน็ตในแพลตฟอร์ม Reddit, YouTube และ TikTok

โดยผลสำรวจพบว่า 57% ของคนรุ่นใหม่ ใช้ Reddit เพื่อถาม-ตอบ ทุกเรื่องเกี่ยวกับงาน ขณะที่ 44% ของพวกเขา ดูคำแนะนำเรื่องงานบน YouTube และ 37% ของคนรุ่นใหม่เชื่อคำแนะนำจาก TikTok Creator มากกว่าเวิร์กช็อปของบริษัท

คำแนะนำที่พวกเขาเสพไม่ใช่แค่เนื้อหาสนุกๆ แต่เป็น “คู่มือปฏิบัติจริง” เช่น ต้องตั้งขอบเขตงานให้ชัด, ต้องหางานที่ตรงกับค่านิยม, อย่า “ทำเกินเงินเดือน” หากองค์กรไม่ให้รางวัล

สำหรับปรัชญาที่มาแรงที่สุดในกลุ่มพนักงานคนรุ่นใหม่ คือ “Act Your Wage” ซึ่งหมายถึง ทำงานให้เท่ากับที่ได้รับค่าจ้างหรือทำแค่ตามหน้าที่ ซึ่งตรงกันข้ามกับความเชื่อของรุ่นพ่อแม่ที่มองว่า การทำเกินหน้าที่คือการลงทุนในอนาคตเส้นทางอาชีพ สาเหตุที่คนรุ่นใหม่คิดแบบนั้นก็อาจเป็นเพราะว่า ในโลกของ Gen Z การลงทุนมีความหมายใหม่ ไม่ใช่การทำงานจนหมดแรง แต่คือการดูแลสุขภาพจิตก่อนใคร

ความคาดหวังใหม่ อยากได้โปรโมตใน 6 เดือน เงินเดือนต้องขึ้นในปีแรก

อิทธิพลของโซเชียลยังเปลี่ยน “เส้นเวลาอาชีพ” ของคนรุ่นใหม่อย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่องค์กรยังเข้าใจว่าพนักงานต้องพิสูจน์ตัวเอง 1-2 ปี ก่อนจะได้รับโปรโมต แต่วัยทำงานรุ่น Gen Z กลับตั้งความคาดหวังใหม่ว่า 

- ควรได้ขึ้นเงินเดือนหลังทำงาน 6-9 เดือน
- 62% ต้องการได้โปรโมตภายในปีแรก
- 21% เห็นว่า 6 เดือนก็สมควรได้รับการโปรโมตแล้ว

สิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากความใจร้อนแต่มาจากการที่พวกเขาเห็นคนวัยเดียวกัน “เปลี่ยนงานแล้วได้เงินเพิ่มทันที” ผ่านโลกออนไลน์ จึงเกิดค่านิยมใหม่ในสังคมการทำงานยุคนี้ที่ว่า หากทำงานที่นี่แล้วไม่โต ก็ต้องเปลี่ยนที่อื่น

โดยอุตสาหกรรมที่เห็นการเคลื่อนไหวเร็วที่สุดคือ พนักงานร้านอาหารและงานบริการ, สายงานมาร์เก็ตติ้ง และสายงานเทคโนโลยี ซึ่งพนักงานมักคาดหวังการขึ้นเงินเดือนภายในเวลาเฉลี่ยแค่ 8 เดือน

คำนิยามของงานที่ “รับได้-รับไม่ได้” ชัดเจนกว่าเดิม

ไม่เพียงแค่เป็นโค้ชด้านอาชีพให้คนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่โซเชียลมีเดียในปัจจุบันยังหล่อหลอมมาตรฐานใหม่ของ “งานที่ดี” สำหรับ Gen Z ซึ่งไม่ใช่สวัสดิการแค่การรักษาพยาบาลหรือโบนัสปลายปี แต่คือชุดคุณค่าอาชีพการงานที่ต้องชัดเจนกับคนรุ่นใหม่ ดังนี้ 

- ผู้จัดการต้องเคารพขอบเขตชีวิตส่วนตัวของพนักงานรุ่นใหม่ (65%)
- โครงสร้างเงินเดือนต้องโปร่งใส (61%)
- ชั่วโมงทำงานต้องชัดเจน ไม่มีการทักคุยงานหรือสั่งงานหลังเลิกงาน (47%)
- Remote work ควรเป็นมาตรฐาน ไม่ใช่สิทธิพิเศษ (46%)

คุณค่าอาชีพการงานเหล่านี้ ตัวเลขจะยิ่งสูงเป็นพิเศษ และชัดเจนมากขึ้นในวงการการเงินและสายงานเทคโนโลยี เพราะแรงงานในสายงานเหล่านี้รู้ดีว่าทักษะที่ตนมีนั้น “มีราคา” และสามารถเลือกองค์กรที่ตอบโจทย์ได้

ไม่เพียงเท่านั้น ความภักดีแบบเดิมๆ กำลังถูกทบทวนใหม่ เพราะตามรายงานยังบอกอีกว่า 1 ใน 3 ของ Gen Z เชื่อว่า “พนักงานไม่จำเป็นต้องภักดีต่อองค์กรอย่างไม่มีเงื่อนไข” เมื่อคนรุ่นใหม่มองว่า การเปลี่ยนงานไม่ใช่เรื่องเชิงลบ แต่เป็นการอัปสกิลและอัปเงินเดือน รวมถึงเกิดการนิยามความสำเร็จแบบใหม่ นั่นคือ พวกเขามุ่งหวัง “การเติบโตทางอาชีพที่ชัดเจนและจับต้องได้” มากกว่าการทำงานหลายปีอย่างรอคอยโดยไม่มีทิศทาง

สิ่งที่ปรากฏชัดจากงานวิจัยนี้คือ "โซเชียลมีเดีย" ไม่ใช่แค่พื้นที่บ่นเรื่องงาน แต่กลายเป็น “HR นอกระบบ” ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในตอนนี้ และกำลังผลักดันให้คนทำงานรุ่นใหม่ที่คิด เลือก และตัดสินใจ ตามข้อมูลที่รวดเร็วและเท่าทันความจริงมากกว่าคำสอนเดิม

พูดง่ายๆ ว่า องค์กรที่จะทำให้การทำงานไปรอด และราบรื่นในวันนี้ ไม่ใช่องค์กรที่พยายามให้คนรุ่นใหม่ปรับเข้ากับกฎเกณฑ์และค่านิยมเก่า แต่เป็นการที่องค์กรต้องพัฒนาวัฒนธรรมใหม่ที่ดูแลทั้งธุรกิจและสุขภาพใจของคนทำงานไปพร้อมกัน

 

 

อ้างอิง: Worklife.newsGatewaycfs