เดตกับหัวหน้า เงินเดือนพุ่ง 6% พอเลิกกันรายได้ดิ่ง 18% ในปีเดียว

เดตกับหัวหน้า เงินเดือนพุ่ง 6% พอเลิกกันรายได้ดิ่ง 18% ในปีเดียว

รักในที่ทำงานไม่แปลก แต่ถ้าเดตกับหัวหน้าจะมีผลต่อเงินเดือน วิจัยชี้ พนักงานหญิงที่คบกับเจ้านายได้เงินเพิ่ม 6% ส่วนพนักงานชายที่เดตกับบอสสาว รายได้พุ่ง 2 เท่า

KEY

POINTS

  • งานวิจัยจากฟินแลนด์พบว่าลูกน้องผู้หญิงที่คบหากับหัวหน้าผู้ชายมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6% ในช่วงที่คบกัน ส่วนลูกน้องผู้ชายที่คบบอสสาวได้เงินพุ่ง 2 เท่า
  • หลังการเลิกรา ลูกน้องผู้หญิงมักลาออกจากงานและมีรายได้ลดลงอย่างหนักเฉลี่ย 18% ภายในหนึ่งปี
  • ผลกระทบด้านลบหลังเลิกกันอาจส่งผลต่อเส้นทางอาชีพในระยะยาวนานถึง 4 ปี และยังกระทบต่ออัตราการลาออกของพนักงานในองค์กรโดยรวม

ในหลายบริษัท ความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกในที่ทำงาน โดยเฉพาะการคบเพื่อนร่วมงานระดับเดียวกัน อาจดูเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่เกิดขึ้นได้ เพราะชาวออฟฟิศใช้เวลาในที่ทำงานเกินกว่าครึ่งชีวิต แต่มันจะดูแปลกและน่าสงสัยขึ้นมาทันที หากความสัมพันธ์นั้นเกิดขึ้นระหว่าง “หัวหน้ากับลูกน้อง”

เพราะความสัมพันธ์แบบนั้นมักเต็มไปด้วยความเสี่ยง ข้อครหา และผลกระทบที่ลึกซึ้งกว่าที่หลายคนคิด ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้สึก แต่รวมถึงเงินเดือน เส้นทางอาชีพ และภาพรวมขององค์กรทั้งหมดด้วย

งานวิจัยใหม่จากฟินแลนด์ชิ้นหนึ่ง พบว่าการเดตกับหัวหน้าทำให้รายได้พุ่งขึ้นจริง (ในช่วงคบกันหวานหอม) แต่ดิ่งลงในช่วงเลิกกัน โดยทีมวิจัยได้ทำการศึกษาโดยใช้ฐานข้อมูลเจาะลึกเป็นพิเศษ เกี่ยวกับเงินเดือนในระยะยาว ตำแหน่งงานในองค์กร และข้อมูลการอยู่อาศัยร่วมกันของคู่รักในที่ทำงาน เพื่อหาว่าความสัมพันธ์ระหว่าง “หัวหน้ากับลูกน้อง” มีผลกระทบต่อเงินเดือนหรือไม่? 

โดยทีมวิจัยติดตามทั้งเส้นทางชีวิตการทำงาน เส้นทางการเงิน ของพนักงานที่เริ่มคบกับหัวหน้าอย่างละเอียดลึกซึ้ง ทั้งในช่วง “ก่อนคบ-ระหว่างคบ-และหลังเลิกกัน” เพื่อค้นหาว่ามีผลลัพธ์อย่างไรบ้าง

ช่วงคบกันใหม่ๆ รายได้ขยับขึ้นอย่างลึกลับ ก่อนย้ายมาอยู่ด้วยกัน

ผลการศึกษา พบว่า ในกรณีที่ลูกน้องผู้หญิงคบกับหัวหน้าผู้ชายในบริษัทเดียวกัน รายได้ของฝ่ายผู้หญิงจะเริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อยเป็นเวลาเกือบสองปี ก่อนที่ทั้งคู่จะย้ายมาอยู่บ้านเดียวกัน โดยเฉลี่ยแล้วรายได้เพิ่มประมาณ 6% เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่คบกับคนที่ตำแหน่งสูงกว่าแต่ทำงานต่างบริษัทกัน ซึ่งเป็นกลุ่มทดลองควบคุม

ทีมวิจัยอธิบายว่า การเพิ่มขึ้นของรายได้อาจเกิดได้จากหลายเหตุผล ตั้งแต่การทำงานดีขึ้นเพราะชีวิตส่วนตัวสดใส การได้รับคำแนะนำจากคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ไปจนถึงความเป็นไปได้ที่มีการปรับงานหรือมอบหมายโครงการบางอย่างให้มากขึ้น เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว

แม้จะไม่มีข้อมูลที่ยืนยันแบบตรงไปตรงมา แต่รูปแบบรายได้ที่ “เพิ่มตั้งแต่ก่อนย้ายมาอยู่ด้วยกัน” ก็เป็นสัญญาณที่ชวนให้คิดไปในทางนั้นได้

ช่วงเลิกกัน: รายได้ร่วงหนัก และมักตามมาด้วยการลาออก

ขณะที่ ด้านมืดของออฟฟิศโรแมนซ์ปรากฏชัดเจนที่สุดหลังการเลิกรา เพราะงานวิจัยพบว่า พนักงานผู้หญิงที่เลิกกับหัวหน้าที่เป็นผู้ชาย มักลาออกจากงาน และรายได้จะลดลงเฉลี่ย 18% ภายในหนึ่งปี เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ที่สำคัญคือ รายได้ยังคงลดลงต่อเนื่องยาวถึง 4 ปี จนเหมือนเส้นทางอาชีพสะดุดไปแบบถาวร

ในมุมของลูกน้องผู้ชายที่คบกับหัวหน้าผู้หญิง ภาพกลับสลับกันอย่างคาดไม่ถึง เพราะผู้ชายกลุ่มนี้มักมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าผู้หญิงเป็น 2 เท่า! ขณะที่ผู้หญิงที่เลิกกับหัวหน้าผู้ชายกลับประสบปัญหารุนแรงกว่า เนื่องจากมีโอกาส “หายไปจากตลาดงาน” สูงกว่ามาก งานวิจัยชี้ว่ากลุ่มนี้อาจไม่ได้แค่ลาออก แต่หยุดทำงานเป็นระยะเวลานาน จนส่งผลต่อรายได้ในระยะยาว

ออฟฟิศโรแมนซ์ กระทบองค์กร พนักงานลาออกมากขึ้นกว่าปกติ

ไม่ใช่แค่พนักงานหรือหัวหน้างานที่อยู่ในความสัมพันธ์เท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบ  แต่องค์กรเองก็ต้องรับแรงสะเทือนด้วยเช่นกัน เพราะมีข้อมูลพบว่า บริษัทที่มีความสัมพันธ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ จะมีอัตราการคงพนักงานลดลงเฉลี่ย 6 จุดเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่มีสถานการณ์แบบนี้

โดยบริษัทขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด และถ้าฝ่ายลูกน้องได้รับการขึ้นเงินเดือนหรือประโยชน์พิเศษมากเป็นพิเศษในช่วงคบกัน อีกทั้ง ผลกระทบต่อการลาออกก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก

เพราะแม้ไม่มีใครพูดตรงๆ แต่เพื่อนร่วมงานก็มักรับรู้ว่า บรรยากาศของออฟฟิศโรแมนซ์มัก “เอื้อต่อผลประโยชน์ได้ดี” นอกจากนี้ ผลสำรวจของ YouGov และ The Economist ยังชี้ว่า 71% ของคนอเมริกัน เชื่อว่าคนที่มีความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกกับหัวหน้า “ได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า” อีกด้วย

วัฒนธรรมองค์กรอื่นอาจหนักกว่าฟินแลนด์

ฟินแลนด์ถือเป็นประเทศที่มีโครงสร้างองค์กรแบบแบน ไม่เน้นลำดับขั้นมากนัก แต่ในวัฒนธรรมที่มีความเป็นลำดับชั้นชัดเจนกว่า อย่างในหลายประเทศแถบเอเชีย ก็พบว่า ผลกระทบนี้อาจรุนแรงกว่ามาก เพราะความสัมพันธ์แบบหัวหน้า–ลูกน้อง ถูกจับตามองมากกว่า และอาจสร้างบรรยากาศไม่ปลอดภัยทางจิตใจให้เพื่อนร่วมงานยิ่งขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม ย้ำอีกทีว่าออฟฟิศโรแมนซ์หรือรักในที่ทำงานระหว่างเพื่อนร่วมงานระดับเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อไหร่ที่ความสัมพันธ์เกิดขึ้นในโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่ากัน (หัวหน้า-ลูกน้อง) ต้นทุนทางการเงินอาจสูงกว่าความหวานที่ได้รับกลับมา

ผลวิจัยนี้จึงเตือนวัยทำงานทุกคนว่า การเดตกับหัวหน้าอาจทำให้ชีวิตการงานดีขึ้นช่วงสั้นๆ แต่ในระยะยาวโดยเฉพาะตอนเลิกกัน คุณอาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งในแง่รายได้ อนาคตอาชีพการงาน และแม้แต่กระทบถึงอัตรากำลังพลขององค์กรทั้งระบบ 

ใครที่กำลังรู้สึกมีใจให้ “หัวหน้า” หรือเริ่มรู้สึกว่าเขาหรือเธอคนนั้นเริ่มกลายเป็นคนพิเศษ ในฐานะพนักงานใต้บังคับบัญชา คุณอาจต้องถามตัวเองให้ดีว่า ความสัมพันธ์นี้คุ้มความเสี่ยงระยะยาวหรือไม่ เพราะบางครั้ง สิ่งที่ดูหวานหอมในตอนแรก…อาจกลายเป็นต้นทุนการเงินที่สูงกว่าที่คิด ในตอนเลิกรากันก็เป็นได้!

 

 

อ้างอิง: Economist, InvestopediaNBER.org