AI ดันคนทำงานยุ่งกว่าเดิม ซีอีโอ Nvidia ชี้ ทุกสายงานจะเปลี่ยนทิศ

AI ดันคนทำงานยุ่งกว่าเดิม ซีอีโอ Nvidia ชี้ ทุกสายงานจะเปลี่ยนทิศ

AI ทำมนุษย์งานยุ่งมากกว่าเดิม! ซีอีโอ Nvidia ชี้ AI ช่วยงานเสร็จเร็วขึ้นจริง แต่ไม่ได้แปลว่าจะว่างขึ้น สายงานใหม่จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวแบบคูณสอง

KEY

POINTS

  • เจนสัน หวง ซีอีโอ Nvidia มองว่า แม้ AI ช่วยให้ทำงานเสร็จเร็วขึ้น แต่จะไม่ทำให้คนมีเวลาว่างมากขึ้น แต่กลับ "งานยุ่งกว่าเดิม" เพราะเวลาว่างที่ได้คืนมา จะถูกใช้ไปกับงานและไอเดียใหม่ๆ ที่ค้างไว้
  • AI จะไม่ทำให้ตำแหน่งงานหายไป แต่จะเปลี่ยนทิศทางและขยายขอบเขตของงานให้กว้างขึ้น ดังตัวอย่างบุคลากรการแพทย์ด้านฉายรังสี ที่ความต้องการกลับเพิ่มสูงขึ้นสวนทางกับคำทำนายที่ว่าจะเป็นอาชีพแรกที่หายไป
  • ความกังวลที่แท้จริงไม่ใช่การถูก AI แย่งงาน แต่คือการแข่งขันกับ "คนที่ใช้ AI ได้เก่งกว่า" ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่า

ในช่วงปีที่ผ่านมา โลกการทำงานพูดถึง AI ในฐานะผู้ช่วยสำคัญที่จะทำงานซ้ำซากบางอย่างแทนมนุษย์ ตั้งแต่งานเอกสารที่น่าเบื่อ ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลที่กินเวลามหาศาล ความหวังของคนทำงานจึงอาจเป็นภาพฝันที่ว่า “สุดท้ายเราจะมีเวลาว่างมากขึ้น” อาจได้ลาพักร้อนเพิ่ม ได้มีเวลาทำงานอดิเรก หรือใช้ชีวิตแบบสมดุลมากขึ้น

แต่ในสายตาของ เจนสัน หวง (Jensen Huang) ซีอีโอ Nvidia บริษัทที่เป็นหัวใจของการพัฒนา AI ทั่วโลก เขากลับมองว่าภาพการทำงานโลกอนาคต อาจไม่ใช่แบบที่หลายคนคิด กล่าวคือ  AI ไม่ได้จะทำให้เราว่างหรือมีอิสระจากงานมากขึ้น ตรงกันข้าม AI จะทำให้มนุษย์ “ยุ่งกว่าเดิม” และหลายอาชีพจะไม่ได้หายไปเฉยๆ แต่อาจแตกแขนงออกเป็นสายงานใหม่ๆ อีกมากมายจนไล่ทำแทบไม่ทันด้วยซ้ำ

ผลิตภาพ (ที่ต้องการ) เพิ่ม = งานกองใหม่โผล่ขึ้นอีกเพียบ

เจนสัน หวง พูดถึงประเด็นนี้บนเวที U.S.-Saudi Investment Forum ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างขึ้นพูดคู่กับ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) โดยเขาบอกว่า การที่ AI ช่วยให้มนุษย์ทำงานยากๆ ได้ง่ายขึ้น งานเสร็จเร็วขึ้น ไม่ได้ทำให้วัยทำงานมีเวลาพักมากขึ้น แต่กลับทำให้มีพื้นที่ในการ “เคลียร์งานหรือต่อยอดไอเดียที่ค้างไว้” ได้มากขึ้นไปอีก

ลองจินตนาการดูง่ายๆ ว่า ในแต่ละวันเรามีไอเดียการทำงานเต็มไปหมด แต่ไม่มีเวลาทำให้เสร็จ เพราะติดงานอีกร้อยแปดพันอย่าง ที่กินเวลานานๆ แต่พอมี AI ก็ช่วยลดภาระงานเหล่านั้นไป …สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ไอเดียเก่าก็ยังรอให้ทำต่ออยู่” ขณะที่ เรามีแรงจะเริ่มไอเดียใหม่ โปรเจกต์ใหม่ เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

“เมื่อชีวิตคุณง่ายขึ้น ว่างขึ้น คุณก็จะมีเวลาไล่ตามไอเดียเหล่านั้นได้มากขึ้น และนั่นแปลว่าคุณจะยุ่งขึ้น” เจนสัน หวง ย้ำ 

ขณะที่ฝั่ง อีลอน มัสก์ มองอีกแบบ เขาบอกว่าในอนาคต โลกการทำงานอาจกลายเป็นเหมือนกีฬา อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ เขาเปรียบเทียบอีกว่า มันจะเหมือนการเลือกซื้อผักในร้าน หรือปลูกผักกินเองในสวนหลังบ้าน ใครอยากทำอะไรแบบไหนก็มีตัวเลือกมากมาย ให้สามารถเลือกทำได้

แม้จะต่างมุมมอง แต่แนวคิดของทั้งสองคนดังกล่าว ก็สะท้อนให้เห็นชัดว่า โลกอนาคตการทำงานต่อจากนี้ไป จะไม่เหมือนเดิมแน่นอน

กรณีศึกษา: สายงานรังสีแพทย์ ไม่ถูกแทนที่ มีแต่จะต้องการเยอะขึ้น

หนึ่งในตัวอย่างอาชีพที่ ซีอีโอ Nvidia หยิบมาพูดคือ “สายงานรังสีแพทย์” ซึ่งหลายคนเคยกลัวว่าเป็นอาชีพแรกๆ ที่จะถูกแทนที่ด้วย AI เพราะเป็นงานที่ต้องอ่านภาพฉายรังสีปริมาณมากๆ ต่อวัน แต่..สิ่งที่เกิดขึ้นจริง กลับตรงกันข้ามแบบสิ้นเชิง

เมื่อ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ภาพ ทำการสแกนได้เร็วขึ้น ชัดขึ้น และส่งผลลัพธ์ที่ช่วยคัดกรองภาพเบื้องต้นให้แพทย์ได้ทันที ดังนั้น จึงทำให้แพทย์มีเวลาเหลือ…แต่เวลาเหล่านั้นไม่ได้กลายเป็นเวลาว่าง มันกลายเป็นว่า เอาเวลาว่างนั้นไปอ่านภาพสแกนเพิ่มเติม, ดูผู้ป่วยได้มากขึ้น, ตรวจเช็กความผิดปกติที่อาจมองข้ามได้ถี่ถ้วนมากขึ้น

รวมถึงมีเวลาในการวิเคราะห์ภาพซับซ้อนที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของมนุษย์ ผลลัพธ์คือ งานที่ต้องการทักษะมนุษย์จริงๆ จะเพิ่มขึ้น และตลาดมีความต้องการบุคลากรสายนี้มากขึ้นตามไปด้วย

เจนเซน หวง มองว่า “คำทำนายที่ว่านักรังสีแพทย์จะถูก AI แทนที่เป็นอาชีพแรก กลับผิดคาดไปหมด” ตัวอย่างนี้สะท้อนประเด็นสำคัญว่า AI ไม่ได้มาแย่งงาน แต่ทำให้ ‘ขอบเขตของงาน’ ขยายใหญ่ขึ้นจนต้องการคนมากกว่าเดิม

Gen Z กังวล AI แทนที่มากขึ้น แต่โอกาสก็ใหญ่ขึ้นมากพอๆ กัน

Nvidia เพิ่งประกาศรายได้สูงที่สุดอีกครั้งในไตรมาสนี้ ยิ่งตอกย้ำว่าบริษัทอยู่ท่ามกลางสมรภูมิ AI อย่างแท้จริง แต่ในอีกด้านหนึ่ง วัยทำงานรุ่นใหม่อย่าง Gen Z กลับไม่มั่นใจนัก เพราะตำแหน่งงานหลากหลายสาขาที่เคยเป็น “งานระดับเริ่มต้นพื้นฐาน” ถูกลดจำนวนลงหรือหายไปจากตลาดงาน เนื่องจากความสามารถของ AI ที่ทำงานระดับนี้แทนได้

ตามรายงานของ World Economic Forum ชี้ชัดว่า AI จะทำให้ตำแหน่งงาน 92 ล้านตำแหน่งหายไป แต่ขณะเดียวกันก็จะสร้างตำแหน่งงานใหม่มากกว่า 170 ล้านตำแหน่ง ข้อมูลนี้สะท้อนภาพของโลกการงานในอนาคต ที่ตำแหน่งงานไม่ “ลดลง” แต่ “ถูกสลับที่” และย้ายความต้องการไปทักษะใหม่ๆ แทน

อย่างไรก็ตาม ความจริงในตลาดแรงงานตอนนี้คือ เด็กจบใหม่หลายคนยังหางานยากขึ้น เพราะบริษัทจำนวนมากลดการเปิดรับงานระดับเริ่มต้น ทำให้บางคนต้องเลือกเรียนต่อทันที เช่น MBA หรือ ปริญญาโทด้านกฎหมาย เพื่อเพิ่มโอกาสแข่งขันในตลาดที่ขยับเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ที่น่าสนใจคือ เจนสัน หวง เคยพูดชัดเจน ว่า สิ่งที่ควรกลัวไม่ใช่ AI มาแย่งงาน แต่คือ “คนที่ใช้ AI ได้เก่งกว่าเรา” เพราะพวกเขาทำงานได้เร็วกว่า มี Productivity สูงกว่า และทำงานได้ล้ำหน้าแบบก้าวกระโดด

ดังนั้นคงไม่เกินจริงที่จะบอกว่า ผู้ที่จะชนะและอยู่รอดในโลกการทำงานยุคนี้ คือคนที่ เรียนรู้ AI และใช้งานมันได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ใช่คนที่อยู่เฉยๆ แล้วหวังว่างานของตัวเองจะปลอดภัยไม่โดน AI เลื่อยขาเก้าอี้ แถมคนระดับซีอีโออย่าง เจนเซน หวง ยังย้ำชัดอีกว่า มันเป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยขยายขอบเขตตำแหน่งงานให้เพิ่มขึ้น ผลักดันให้วัยทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุดกว่าที่เคยเป็นมานั่นเอง

 

 

อ้างอิง:  Fortune, weforum.org, CNBC