วิทยาศาสตร์ชี้ ทำอะไรก็ “ดีขึ้น” เมื่อมีเพื่อนอยู่ข้างๆ

งานวิจัยชี้ว่า กิจวัตรธรรมดาๆ ก็สร้างความสุขขึ้นได้ทันที เมื่อมีเพื่อนร่วมโมเมนต์ไปด้วย เราอาจกำลังพลาด “ความสุขเล็กๆ ในแต่ละวัน” เพราะทำทุกอย่างคนเดียว
KEY
POINTS
- งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าการทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับผู้อื่นช่วยเพิ่มระดับความสุขได้ แม้จะเป็นกิจกรรมที่ธรรมดาในชีวิตประจำวัน
- ผลการวิจัยพบว่าแม้แต่กิจกรรมที่น่าเบื่อ เช่น การล้างจาน การซื้อของ หรือการเดินทาง ก็จะกลายเป็นเรื่องสนุกและทำให้รู้สึกดีขึ้นเมื่อมีคนทำด้วย
- ความสุขที่เพิ่มขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมนั้นเกิดขึ้นกับทุกคน โดยไม่ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพว่าเป็นคนเก็บตัว (introvert) หรือคนเปิดเผย (extrovert)
เคยคิดไหมว่า วันที่ธรรมดาๆ ก็สดใสขึ้นได้ ถ้ามีใครอยู่ด้วยสักคน? ความรู้สึกแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะงานวิจัยด้านจิตวิทยาหลายชิ้นชี้ว่า “การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น” อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เรามีความสุขมากขึ้นกว่าที่คิด แม้จะเป็นกิจกรรมที่แสนธรรมดา อย่างการเดินซื้อของ ล้างจาน หรือแม้แต่ การนั่งรถกลับบ้าน
‘กรุงเทพธุรกิจ จุดประกาย’ จะพาผู้อ่านไปสำรวจว่า ทำไมมนุษย์เราจึงรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้แบ่งปันช่วงเวลาธรรมดาๆ กับผู้อื่น? อะไรคือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่รองรับ? และเราจะเติม “ความสุขเล็กๆ” แบบนี้ลงในชีวิตที่เร่งรีบของเราได้อย่างไรบ้าง?
ความสุขอยู่ใน “โมเมนต์ธรรมดา” มากกว่าที่คิด
งานวิจัยด้านจิตวิทยาหลายฉบับบอกกับเราซ้ำๆ ว่า “การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น” เป็นกุญแจสำคัญของความสุขและสุขภาวะทางใจ
ล่าสุด ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย British Columbia นำโดย ศาสตราจารย์ เอลิซาเบธ ดันน์ (Elizabeth Dunn) ได้นำข้อมูลจาก American Time Use Survey มาวิเคราะห์ ซึ่งเป็นชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่บันทึกชีวิตประจำวันของผู้คนกว่า 40,000 คน รวมกว่า 100,000 โมเมนต์ ตั้งแต่ปี 2010, 2012, 2013 ไปจนถึง 2021
ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้นักจิตวิทยายังต้องประหลาดใจ เธอสรุปแบบชัดเจนว่า
“แทบทุกกิจกรรมจะสนุกขึ้นทันที แค่มีใครสักคนทำไปด้วยกัน”
และสิ่งที่น่าสนใจคือ มันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกิจกรรมสนุกๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึง กิจกรรมธรรมดาๆ ที่เราไม่เคยคิดว่าต้องมีเพื่อนทำด้วย เช่น การไปเติมน้ำมันรถ, อ่านหนังสือ, เดินซื้อของ หรือแม้แต่ล้างจานในครัว
ทำกิจกรรมกับเพื่อนแล้วความสุขเพิ่มขึ้นแค่ไหน?
คำตอบคือ มากกว่าที่เราคิด
ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมมนุษย์อย่าง ศาสตราจารย์ นิโคลัส เอปลีย์ (Nicholas Epley) จาก University of Chicago กล่าวว่า “มันทำให้เห็นชัดเลยว่า คนเรามักมองข้ามพลังของการเข้าสังคมอยู่เสมอ”
งานวิจัยพบว่า:
กิจกรรมที่เรามักทำร่วมกันอยู่แล้ว เช่น กินข้าว ดื่มกาแฟ เดินเล่น ออกกำลังกาย ให้ผลบวกต่อความสุขสูงที่สุด ในขณะที่ กิจกรรมที่คนส่วนใหญ่ทำคนเดียว เช่น อ่านหนังสือ นั่งรถ ทำงานศิลปะ ก็ยังรู้สึก “แฮปปี้ขึ้น” เมื่อมีใครสักคนอยู่ด้วย
การมีเพื่อนร่วมโมเมนต์ ไม่ว่ากิจกรรมนั้นจะสนุก หรือธรรมดาแค่ไหน ก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีนิสัยเป็น อินโทรเวิร์ต หรือ เอ็กซ์โทรเวิร์ต ไม่ต่างกัน เพราะถึงแม้ว่าจะบุคลิกที่ต่างกัน แต่ผลที่ได้นั้นเหมือนกันคือ การมีปฏิสัมพันธ์จะช่วยให้สุขภาพจิตใจดีขึ้น
อินโทรเวิร์ต อาจจะชอบความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเป็นรายบุคคล ในขณะที่ เอ็กซ์โทรเวิร์ต ชอบจะสังคมวงกว้างที่มีความคึกคักมากกว่า
วิธีสร้างชีวิตให้มีโมเมนต์ทางสังคมมากขึ้น
แม้การใช้ชีวิตในยุคนี้จะมีความเร่งรีบ แต่เรายังสามารถ “เติมความสุขเล็กๆ” ผ่านปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัวได้ง่ายกว่าที่คิด แค่ลองปรับพฤติกรรมในแต่ละวันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
- ตั้งเวลาสังคมไว้ในปฏิทิน: การบล็อกเวลาไว้ล่วงหน้า เช่น นัดดื่มกาแฟในวันหยุดกับเพื่อนสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยให้เรามีช่วงเวลาเชื่อมต่อกับคนอื่นได้อย่างสม่ำเสมอ
- เปลี่ยนงานบ้านที่น่าเบื่อให้เป็นเวลาพูดคุย: งานวิจัยชี้ว่า การคุยกับใครสักคนแม้ระหว่างทำงานจุกจิก ก็สามารถทำให้อารมณ์ดีขึ้นทันที เช่น โทรหาเพื่อนตอนล้างจาน จัดบ้าน หรือเดินซื้อของ
- ชวนเพื่อนไปด้วยเมื่อต้องเดินทาง: ศาสตราจารย์เอลิซาเบธ ดันน์ กล่าวว่า “เวลาเดินทางเป็นช่วงเวลาที่เหงาที่สุด แค่มีเพื่อนร่วมทางความสุขก็เพิ่มขึ้นได้ทันที”
- เปิดใจให้กับโมเมนต์เล็กๆ ในชีวิตประจำวัน: ศาสตราจารย์นิโคลัส เอปลีย์ อธิบายว่า “ความสุขมาจากความถี่ของโมเมนต์ดีๆ ไม่ใช่ที่ความยิ่งใหญ่ของโมเมนต์นั้น” แค่ยิ้มให้พนักงานร้านกาแฟ ทักทายเพื่อนบ้าน ก็สามารถเพิ่มคุณภาพวันของเราได้แล้ว
ความสุขอยู่ใกล้กว่าที่คิด
งานวิจัยนี้อาจทำให้เรามองได้ว่า ชีวิตเราอาจไม่ได้ต้องการกิจกรรมสุดพิเศษเพื่อสร้างความสุขเท่านั้น แต่ต้องการ “ใครสักคน” มามีส่วนร่วมในกิจกรรมธรรมดาๆ เหล่านั้นต่างหาก เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยง และเข้าสังคม ความสุขก็เพิ่มขึ้นได้ทุกครั้งเมื่อเราเลือกที่จะไม่ใช้ชีวิต “คนเดียว” โดยไม่จำเป็น
อ้างอิง journals , washingtonpost







