ทำงานหนัก 60 ชม./วีค ถึงจะเก่ง? ผู้เชี่ยวชาญชี้ สูตรนี้ไม่ยั่งยืน

ผู้บริหาร Google เผย การทำงานให้มีประสิทธิภาพที่สุดคือ “60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์” แต่ผู้เชี่ยวชาญโต้กลับ ไม่มีใครอยู่รอดได้ในสูตรนี้ แล้ว “สมดุลการทำงาน” คือจุดไหนแน่?
KEY
POINTS
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าแนวคิดการทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อความสำเร็จนั้น "ไม่ยั่งยืน" และเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ (burnout) ในระยะยาว
- อย่างไรก็ตาม การทำงานเพียง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็อาจไม่เพียงพอสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพอย่างรวดเร็ว
- หัวใจสำคัญไม่ใช่ "จำนวนชั่วโมง" แต่คือการมุ่งเน้นที่ "การทำงานให้สำเร็จ" และสร้าง "ผลลัพธ์ของงาน" ที่มีคุณภาพ
- คนรุ่นใหม่ควรหาจุดสมดุลระหว่างความทะเยอทะยานในช่วงเริ่มต้นอาชีพ กับการรักษาสุขภาพและชีวิตส่วนตัวเพื่อความสำเร็จที่แท้จริง
เมื่อโลกการทำงานยุคนี้เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนอย่างมาก ไม่แปลกที่วัยทำงานคนรุ่นใหม่จะเกิดคำถามในใจขึ้นว่า “ทำงานหนักแค่ไหนถึงจะดีที่สุด ทั้งในแง่ประสิทธิภาพงานและสมดุลชีวิต” โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่น Gen Z ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานเต็มตัว พวกเขาต่างแสดงความกังวลในใจเรื่องนี้ ผ่านสื่อโซเชียลมากเรื่อยๆ ว่า “คนเราควรทำงานกี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถึงจะประสบความสำเร็จและไม่หมดไฟไปซะก่อน?”
โดยเฉพาะหลังจากที่ เซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) ผู้ร่วมก่อตั้ง Google กล่าวในอีเมลภายในถึงพนักงานทีม Gemini ว่า “สัปดาห์ทำงานที่เหมาะสมที่สุด (sweet spot) คือ 60 ชั่วโมง” เพราะจะช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงานจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนั้น โดยพวกเขายืนยันว่า การทำงานถึง 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ “ไม่ยั่งยืนแน่นอน” แต่ก็ยอมรับไปพร้อมกันด้วยว่า “การทำงานเพียง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็อาจไม่เพียงพอสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเติบโตเร็ว” เช่นกัน
อยากก้าวหน้าในอาชีพไวๆ ต้องทำมากกว่า 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ ?!
แดน แคปลัน (Dan Kaplan) หุ้นส่วนร่วมของบริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล ZRG Partners บอกกับ Fortune ว่า “บทเรียนสำคัญสำหรับคนหนุ่มสาวที่อยากเติบโตไวคือ คุณจะไม่มีวันไปถึงจุดนั้นได้ด้วยการทำงานแค่ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์”
เขาอธิบายว่า ความเข้าใจผิดที่เกิดจากคำว่า “ทำงาน 60 ชั่วโมง” ไม่ใช่ประเด็นของตัวเลข แต่มันหมายถึงการ “ทำจนเสร็จ” มากกว่า “ทำจนหมดเวลายืดเยื้อเนิ่นนานเป็นสิบๆ ชั่วโมง”
อย่างไรก็ตาม การหาสมดุลระหว่าง "ความทะเยอทะยาน" กับ "เวลาพักผ่อน" เป็นเรื่องยากสำหรับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มต้นในสายอาชีพ ซึ่งมักถูกคาดหวังให้ “แสดงความทุ่มเท” เหมือนรุ่นพี่ในอดีต เช่น วัยรุ่นในวอลล์สตรีทที่เคยทำงานสัปดาห์ละ 100 ชั่วโมง จนกระทั่งซีอีโอ JPMorgan อย่าง เจมี ไดมอน (Jamie Dimon) ต้องออกกฎจำกัดไม่ให้พนักงานระดับจูเนียร์ทำเกิน 80 ชั่วโมง
แต่หลังยุคโควิด-19 ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป การทำงานจากบ้านเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ใส่ใจสุขภาพและสมดุลชีวิตมากขึ้น Gen Z กล้าที่จะพูดเรื่อง “ขอบเขต” ของงาน และ 80% จากพวกเขาในผลสำรวจของ A.Team ปี 2024 ถึงขั้นสนับสนุนแนวคิด “สัปดาห์ทำงาน 4 วัน” ด้วยซ้ำ
ที่แน่ๆ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “ไม่ว่าคุณจะอยู่รุ่นไหน การปีนบันไดอาชีพก็ยังมีกฎพื้นฐานเหมือนเดิมทุกยุคทุกสมัย” หากอยากเติบโตเร็ว ก็ต้องยอมทำมากในช่วงเริ่มต้นของอาชีพ
“60 ชั่วโมง” ไม่ใช่คำตอบ แต่ “ทำงานจนสำเร็จ” ต่างหากคือเป้าหมาย
แม้จะไม่มีสูตรตายตัวว่าต้องทำงานกี่ชั่วโมงจึงจะพอดี แต่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนเห็นตรงกันว่า การทำงาน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อย่างต่อเนื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ในระยะยาว เพราะมันนำไปสู่ภาวะ หมดไฟ (burnout) ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง และแม้กระทั่งปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง
ตามความเห็นของ แจ็กกี ดูบ (Jackie Dube) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของบริษัท Predictive Index ที่บอกผ่าน Fortune ว่า “มีบางช่วงเวลาที่เราจำเป็นต้องทำงานหนักกว่าปกติ เช่น เมื่อองค์กรเผชิญความท้าทายใหญ่ แต่ถ้ามันกลายเป็นสิ่งที่ถูกคาดหวังตลอดเวลา ผลที่ได้คือความอ่อนล้าของทั้งทีม ไม่ใช่ประสิทธิภาพงานที่ดี”
เธอย้ำว่า การทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ถือเป็นระดับที่ยั่งยืนที่สุด และการเพิ่มหรือลดชั่วโมงงาน ตามสถานการณ์ของบริษัทถือว่าเหมาะสม แต่แทนที่จะเฝ้านับชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ Gen Z โฟกัสไปที่ “ผลงาน” ให้ออกมาดีที่สุดมากกว่า
ขณะที่ แจสมิน เอสคาเลรา (Jasmine Escalera) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพจาก MyPerfectResume กล่าวสั้นๆ ว่า “อย่าคิดถึง sweet spot ของชั่วโมงงาน แต่จงคิดถึง sweet spot ของผลลัพธ์ของงานนั้นๆ จะดีที่สุด”
ทำยังไงให้รู้ว่า “ชั่วโมงทำงานพอดี” สำหรับตัวเอง
เมื่อไม่มีสูตรสำเร็จว่าควรทำงานกี่ชั่วโมง คนรุ่น Gen Z จึงต้องเลือกระหว่าง “ทุ่มเทเต็มที่ตอนยังมีแรง” หรือ “รักษาสมดุลระยะยาว”
เอสคาเลราแนะนำว่า “ถ้าเป้าหมายของคุณคือการเรียนรู้ให้มากที่สุด ก้าวหน้าให้ไวที่สุด คุณอาจต้องยอมสละเวลาในช่วงแรกเพื่อประสบการณ์นั้น” โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหรือสตาร์ตอัปที่การแข่งขันสูง
ส่วน แจ็กกี ดูบ เสริมว่า ช่วงต้นของอาชีพ คุณมีพลังและเวลามากกว่าที่คิด จงใช้มันให้เต็มที่ ลงมือทำจริงในหลายๆ โปรเจกต์ เข้าร่วมงานกับหลายๆ ทีม เพราะการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการได้ ‘ลงมือทำ’ แต่ในขณะเดียวกัน คนรุ่นใหม่ก็ไม่ควรละเลยสิ่งที่ตัวเองให้คุณค่ามากที่สุด นั่นคือ “สุขภาพและชีวิตส่วนตัว”
แคปลันจาก ZRG Partners ทิ้งท้ายไว้อย่างลึกซึ้งว่า “บทเรียนจากยุคโควิดคือ จงดูแลตัวเองก่อน อย่าปล่อยให้ชีวิตกลายเป็นการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้วัดจากเงินหรือสถานะในอาชีพเท่านั้น แต่วัดจากทุกมิติของชีวิต ถ้าทำงานหนักเกินไป คุณอาจสูญเสียสิ่งที่สำคัญกว่าทั้งหมด”
แม้วันนี้โลกการทำงานจะเปลี่ยนไป แต่คำถามสุดฮิตตลอดกาลอย่าง “ต้องทำงานกี่ชั่วโมงถึงจะสำเร็จ” ก็ยังไม่มีคำตอบตายตัว สิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรโฟกัส อาจไม่ใช่จำนวนชั่วโมง แต่คือ “คุณภาพของชั่วโมงที่ทำงาน” เมื่อความก้าวหน้าไม่ได้เกิดจากการทำงานนานที่สุด แต่มาจากการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเร่ง และเมื่อไหร่ควรหยุด เพื่อให้เดินต่อได้ไกลกว่าเดิม
อ้างอิง: Fortune, NewYorkTimes, a.team







