เงินเดือนเท่าไร ต้องเปิดได้? Gen Z ต้องการความโปร่งใสในที่ทำงาน

เงินเดือน เรื่องห้ามพูดในออฟฟิศ? แต่คนรุ่นใหม่มองว่า “ควรเปิดเผยได้” อยากได้ความโปร่งใส ผู้เชี่ยวชาญชี้ นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนสู่ ความยุติธรรมรูปแบบใหม่
KEY
POINTS
- คนทำงานรุ่น Gen Z กำลังท้าทายวัฒนธรรมองค์กรแบบเก่าที่มองว่าการพูดเรื่องเงินเดือนเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเชื่อว่าความโปร่งใสเป็นสิทธิ์ที่ควรรู้เพื่อสร้างความเป็นธรรม
- ผลสำรวจชี้ว่า Gen Z เกือบ 40% กล้าเปิดเผยเรื่องเงินเดือนในที่ทำงาน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าคนรุ่น Gen X เกือบสองเท่า แม้บริษัทจะมีกฎห้ามก็ตาม
- ทัศนคติของ Gen Z มาจากการเติบโตในยุคแห่งข้อมูลที่เปิดเผย ทำให้พวกเขาใช้การแชร์ข้อมูลเงินเดือนเป็นเครื่องมือในการปกป้องตนเองจากความไม่เท่าเทียม
- แนวโน้มนี้ส่งผลต่อการจ้างงาน โดยคนรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกที่จะไม่สนใจสมัครงานกับบริษัทที่ไม่ระบุช่วงเงินเดือนอย่างชัดเจนในประกาศรับสมัครงาน
ในอดีต การพูดเรื่อง “เงินเดือน” ในออฟฟิศถือเป็นเรื่องต้องห้าม เรามักได้ยินคำพูดอย่าง “อย่าพูดเรื่องเงินเดือนกันเลย เดี๋ยวเสียบรรยากาศ” แต่วัฒนธรรมแบบนั้น.. อาจกำลังจะหมดอายุ เมื่อคนทำงานรุ่น Gen Z กำลังคิดและทำในสิ่งตรงข้าม พวกเขามองว่า เรื่องเงินเดือนคือ “หัวข้อที่ควรคุย” และ “สิทธิ์ที่ควรรู้” ขนบเดิมๆ ในออฟฟิศ และ “ความยุติธรรมของค่าจ้าง” ในการทำงาน กำลังจะถูกปรับเปลี่ยนใหม่
ผลสำรวจใหม่จากเว็บไซต์ Kickresume ซึ่งเก็บข้อมูลจากพนักงานกว่า 1,850 คนทั่วโลกเกี่ยวกับวัฒนธรรมการเปิดเผยเงินเดือนของตนเองให้เพื่อนร่วมงานทราบ พบว่า มีพนักงานเพียง 31% เท่านั้น ที่บอกว่าบริษัทของตนเปิดให้พูดเรื่องเงินเดือนกันอย่างเปิดเผย ในขณะที่ 37% ทำงานอยู่ในองค์กรที่ “ห้ามพูดเรื่องเงินเดือนอย่างชัดเจน”
แต่ถ้าแยกตามช่วงอายุ จะเห็นชัดว่า “เจเนอเรชัน” กำลังเป็นเส้นแบ่งระหว่าง วัฒนธรรมพูดคุยเงินเดือนของคนยุคเก่าและยุคใหม่
Gen Z เปิดเผยเรื่องเงินเดือนมากกว่าทุกเจเนอเรชัน
ผลการสำรวจเผยอีกว่า เกือบ 40% ของพนักงาน Gen Z บอกว่า พวกเขาสามารถพูดเรื่องเงินเดือนของกันและกันได้ในที่ทำงาน ซึ่งมากกว่าเกือบสองเท่าของ Gen X ที่มีเพียง 22% เท่านั้นที่รู้สึกว่าเรื่องนี้พูดได้
และแม้ในบริษัทที่ห้ามพูดคุยเรื่องเงินเดือนระหว่างเพื่อนร่วมงาน แต่ 18% ของ Gen Z ก็ยังกล้าเปิดเผยรายได้ของตัวเองอยู่ดี เพราะพวกเขาเชื่อว่า การรู้ว่าคนอื่นได้เงินเดือนเท่าไร คือ “สิทธิ์พื้นฐานในการป้องกันตัวเองจากความไม่เป็นธรรม”
ในขณะที่ 1 ใน 3 ของคนรุ่น Gen X บอกว่าตัวเอง “จะไม่พูดเรื่องเงินเลย” ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น ..นี่แสดงให้เห็นถึงช่องว่างทางความคิดว่ากำลัง “เกิดการเปลี่ยนยุคของวัฒนธรรมการทำงาน” อย่างชัดเจน
แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมองค์กร
โดยเฉพาะเมื่อ Gen Z เป็นกลุ่มแรกที่มองว่า การพูดเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องเสียมารยาท แต่คือการเรียกร้องความเป็นธรรม
เรื่องเงินเดือนต้องโปร่งใส ประกาศสมัครงานที่ไม่ระบุเงินเดือน จะถูกเมิน!
อีกผลสำรวจหนึ่งในปีนี้ระบุว่า คนทำงานรุ่นใหม่จำนวนมาก จะไม่ยื่นสมัครงานกับบริษัทใดๆ ก็ตาม ที่โพสต์ใบประกาศรับรับสมัครงานโดยไม่ระบุช่วงเงินเดือนอย่างชัดเจน และเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับ “ความอยากรู้ในระดับมนุษย์”
ในรายงานเดียวกัน ระบุด้วยว่า 32% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า พวกเขาอยากรู้ว่าคนอื่นได้เงินเท่าไหร่ โดยเฉพาะกลุ่มพนักงาน Gen Z และพนักงานผู้หญิง ที่มีความอยากรู้อยากเห็นสูงสุด โดยขณะที่ 38% ของ Gen Z และ 34% ของผู้หญิง บอกว่ารู้สึก “สนใจจริงๆ” เมื่อได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดถึงรายได้ของตัวเอง
แต่ในอีกมุมหนึ่ง แม้คนรุ่นใหม่จะเปิดเผยเรื่องเงินเดือนมากขึ้น แต่การพูดเรื่องนี้ก็ยังทำให้บางคนรู้สึกอึดอัด 19% ของคนทำงานทั้งหมดบอกว่ารู้สึกไม่สบายใจเวลาเกิดบทสนทนาเรื่องเงินเดือน และเมื่อแยกตามช่วงอายุ พบว่า 24% ของ Gen X รู้สึกว่ามัน “เป็นเรื่องต้องห้าม” ขณะที่ในหมู่ Gen Z มีเพียง 15% เท่านั้นที่คิดเช่นนั้น นี่แสดงให้เห็นว่าวิธีคิดเรื่อง “ความเหมาะสมในที่ทำงาน” กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
สรุปว่า..พูดเรื่องเงินเดือนในที่ทำงานได้ไหม?
หากมองตามกฎหมายของสหรัฐฯ พนักงาน มีสิทธิ์เต็มที่ในการพูดเรื่องเงินเดือนของตัวเอง โดยพระราชบัญญัติ Equal Pay Act ปี 1963 และกฎหมายเพิ่มเติมภายหลัง รับรองให้คนทำงานสามารถ “สอบถาม พูดคุย หรือเปิดเผยเงินเดือนของตัวเองและของผู้อื่นได้” โดยไม่ต้องกลัวถูกลงโทษหรือกลั่นแกล้งจากบริษัท
นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายระดับรัฐที่บังคับให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลค่าจ้างอย่างโปร่งใสมากขึ้น เช่น รัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) กำหนดให้บริษัทที่มีพนักงานเกิน 25 คน ต้องระบุช่วงเงินเดือนในประกาศรับสมัครงาน โดยแนวโน้มแบบเดียวกันกำลังเกิดขึ้นใน โคโลราโด แคลิฟอร์เนีย และนิวยอร์ก ด้วย
ผู้สนับสนุนกฎหมายลักษณะนี้ให้เหตุผลว่า “ความโปร่งใสด้านรายได้คือเครื่องมือสำคัญในการลดช่องว่างค่าจ้างระหว่างเพศและเชื้อชาติ” เพราะ “ความเหลื่อมล้ำเจริญเติบโตได้ดีในที่มืด แต่ความโปร่งใสทำให้ทุกอย่างถูกตรวจสอบได้”
Gen Z โตมาในยุคแห่งความเปิดเผย
รูธ โธมัส (Ruth Thomas) ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ค่าตอบแทนจากบริษัท Payscale อธิบายว่า กฎหมายความโปร่งใสใหม่ๆ ทำให้ข้อมูลค่าจ้างในตลาดแรงงานชัดเจนกว่าที่เคย พนักงานควรได้รู้ว่าค่าตอบแทนของแต่ละตำแหน่งอยู่ในช่วงเท่าไร และสามารถใช้ข้อมูลนั้นต่อรองค่าจ้างได้อย่างยุติธรรม
“ตอนนี้ข้อมูลเงินเดือนเปิดเผยมากกว่าที่เคย โดยเฉพาะในยุคของ Gen Z พวกเขาโตมากับโซเชียลมีเดียและข้อมูลแบบเปิด ทุกอย่างโปร่งใสไปหมด ความจริงใจและความเท่าเทียมจึงกลายเป็นค่านิยมหลักของพวกเขา รวมถึงเรื่องเงินด้วย” โธมัส อธิบาย
พูดง่ายๆ ก็คือ Gen Z ไม่ได้สร้างเทรนด์ ‘กล้าพูดเรื่องเงินเดือน’ แต่พวกเขาแค่กล้าพูดในสิ่งที่คนรุ่นก่อนแกล้งทำเป็นไม่เห็น
เอมี สเปอร์ลิง (Amy Spurling) ซีอีโอของ Compt ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้าน HR มองว่า Gen Z ไม่ได้เป็นคนเริ่มเทรนด์พูดเรื่องเงินเดือนขึ้นมา แต่พวกเขาเป็นคนแรกที่กล้าบอกว่า ‘มันไม่ควรถูกปิดบังตั้งแต่แรก’ และเธอเห็นว่ามันคือสิ่งที่ดีมาก
ไม่ขอยึดติด “มารยาทแบบเก่า” หากทำให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม
เธออธิบายว่า เด็กรุ่นใหม่เติบโตขึ้นในยุคที่เห็นพ่อแม่หรือพี่ๆ ของพวกเขาต้องเจอกับ “องค์กรที่ปิดบังข้อมูล” ไม่ว่าจะเป็นช่วงปลดพนักงาน เศรษฐกิจตกต่ำ หรือปรับโครงสร้างโดยไม่มีคำอธิบาย ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ยึดติดกับ “มารยาทองค์กรแบบเก่า” อีกต่อไป
“พวกเขาแชร์ข้อมูลเงินเดือน เพราะมันคือการปกป้องตัวเอง ข้อมูลคืออำนาจ และพวกเขาไม่ยอมสละอำนาจนั้นเพียงเพื่อทำให้เจ้านายรู้สึกสบายใจ”
สเปอร์ลิงเสริมว่า แท้จริงแล้ว ความกลัวของบริษัทต่อ “ความโปร่งใสเรื่องค่าจ้าง” มักสะท้อนถึงปัญหาภายในมากกว่าความเป็นมืออาชีพ การพูดเรื่องเงินคือวิธีที่เร็วที่สุดในการเปิดโปงความไม่เท่าเทียมในที่ทำงาน
บริษัทกลัวเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะมันไม่เหมาะสม แต่เพราะมันเผยให้เห็นความจริงใต้พรมที่ว่า มีพนักงานบางคนได้ค่าตอบแทนสูงเพราะต่อรองเก่ง (แต่อาจจะทำงานไม่เก่ง) ขณะที่อีกคนกลับได้เงินน้อยกว่า เพียงเพราะพรีเซนต์ตัวเองไม่เก่งหรือโดนมองด้วยอคติจากองค์กร
อย่างไรก็ตาม คนที่เห็นด้วยว่าควรเปิดเผยเงินเดือน อาจไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการรู้ทุกอย่างเพราะอยากเปรียบเทียบ แต่เพราะเชื่อว่าความโปร่งใส คือ เครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้าง “ความเป็นธรรม” ในที่ทำงานต่างหาก และมันหมายถึงการ “วาดเส้นความเท่าเทียมใหม่” ที่ดีกว่าเดิมสำหรับทุกคนในโลกการทำงาน
อ้างอิง: Newsweek, Kickresume, HR-now







