ปรากฏการณ์สนามศุภฯแตก ถอดรหัสหมอนทองวิทยา-บอล7สี เรื่องมหัศจรรย์ลูกหนังขาสั้นเมืองไทย

ปรากฏการณ์สนามศุภฯแตก ถอดรหัสหมอนทองวิทยา-บอล7สี  เรื่องมหัศจรรย์ลูกหนังขาสั้นเมืองไทย

สนามศุภฯแตก! ภาพที่ไม่มีใครคิดว่าจะได้เห็นอีกแล้วในยุคนี้ก็ได้กลับมาเห็นกันอีกครั้งในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์ 7 สีนัดชิงชนะเลิศ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาระหว่างทีมโรงเรียนอบจ.ชัยนาท และ ทีมโรงเรียนหมอนทองวิทยา

KEY

POINTS

Key points

  • ไม่มีใครคาดคิดว่าเราจะได้เห็นภาพสนามศุภฯแตก อีกครั้งในยุคปี พ.ศ.2568 (ค.ศ.2025) เมื่อผู้ชมจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมายังสนามศุภชลาศัยอีกครั้ง เพื่อชมเกมฟุตบอลชิงแชมป์ 7 สีนัดชิงชนะเลิศ
  • การเป็นทีมเล็กแต่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าเป็น Underdog story คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนเริ่มให้ความสนใจทีมหมอนทองวิทยา เจ้าของสมญา “เซลติกแห่งบางน้ำเปรี้ยว” 
  • สิ่งเหล่านี้คือกระจกสะท้อนให้เห็นว่าฟุตบอลเด็กไม่ใช่เรื่องเล็กเสมอไป มันสามารถทำให้ใหญ่ได้ สร้างมูลค่าได้ ควบคู่ไปกับการพัฒนารากฐานวงการฟุตบอลเยาวชนของประเทศอย่างยั่งยืน
  • มันจะดีกว่าหากเราจะมีทีมแบบหมอนทองวิทยาทีมที่ 2-3-4-5 เพิ่มขึ้นอีก รวมถึงการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่มากกว่าแค่อัดฉีดเพราะอยาก “โหนกระแส”

ผู้ชมจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสายจนทะลักและทะลุความจุของ สนามศุภชลาศัย สนามกีฬาระดับตำนานของไทยซึ่งปัจจุบันจุผู้ชมได้ราว 20,000 คน ก่อนจะเกิดความวุ่นวายมีการพังรั้วเข้าไปจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการแข่งขันไม่สามารถต้านทานได้

สุดท้ายเลยต้องยอมฝูงชนที่ล้นเข้าไปไม่ใช่แค่บริเวณลู่วิ่งรอบสนาม แต่ไปจนถึงริมรอบเส้นขอบสนามซึ่งความจริงก็มีขนาดที่เล็กกว่าสนามฟุตบอลปกติเพราะเป็นการแข่งขันฟุตบอลแบบ 7 คน

ทีมเล็กๆอย่าง หมอนทองวิทยา สร้าง “ปรากฏการณ์” ในครั้งนี้ได้อย่างไร? และในภาพใหญ่ของสังคมไทยเราได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้บ้าง?

ปรากฏการณ์สนามศุภฯแตก ถอดรหัสหมอนทองวิทยา-บอล7สี  เรื่องมหัศจรรย์ลูกหนังขาสั้นเมืองไทย

สนามศุภฯแตก!

มีเรื่องเล่าถึงเรื่องราวในอดีตที่ผู้ใหญ่เคยเล่าสู่กันฟังว่าก่อนนี้วงการฟุตบอลไทยได้รับความสนใจจากแฟนฟุตบอลอย่างมากในระดับที่สนามศุภชลาศัย ในฐานะสนามกีฬาแห่งชาติถึงกับแตก ผู้คนล้นลงมาถึงริมสนามเลยทีเดียว

นั่นเป็นยุคสมัยเมื่อร่วม 30 ปีที่แล้ว หรือไกลกว่านั้น โดยเฉพาะในวันที่ประเทศไทยยังมีซูเปอร์สตาร์ลูกหนังที่ชื่อ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ตำนานเพชฌฆาตหน้าหยก นักฟุตบอลที่ดีที่สุดตลอดกาลของชาติ ที่ไม่ว่าจะลงสนามในฐานะทีมทหารอากาศ หรือในนามทีมชาติก็จะมีแฟนๆมาต้อนรับเสมอ

ไม่มีใครคาดคิดว่าเราจะได้เห็นภาพแบบเดียวกันนี้อีกครั้งในยุคปี พ.ศ.2568 (ค.ศ.2025) เมื่อผู้ชมจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมายังสนามศุภชลาศัยอีกครั้ง ไม่เพียงแค่เต็มความจุของสนามแต่ยังล้นไปถึงทุกที่ทุกจุดที่สามารถจะทำให้ชมการแข่งขันได้

ปรากฏการณ์สนามศุภฯแตก ถอดรหัสหมอนทองวิทยา-บอล7สี  เรื่องมหัศจรรย์ลูกหนังขาสั้นเมืองไทย

ตั้งแต่การปีนกระถางคบเพลิง ไปจนถึงการพังรั้วเพื่อเข้าไปดูถึงขอบสนามแบบใกล้ชิด ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายหรือเหตุไม่คาดฝันสูงมาก ซึ่งฝ่ายจัดการแข่งขันยอมรับว่าประเมินสถานการณ์ผิดจนไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ได้ โชคดีที่ไม่มีเหตุหรือความเสียหายใดๆ

ไม่นับอีกจำนวนหลักพันคนที่นั่งชมเกมผ่านจอยักษ์ที่เปิดฉายหน้าอาคารนิมิบุตร บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ

และผู้ชมอีกมากกว่า 1.6 ล้านคนที่ชมการถ่ายทอดสดผ่านอย่าง TikTok และอีก 1.8 ล้านคนทาง YouTube

สิ่งนี้คือ ‘ปรากฏการณ์’ ที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับประเทศไทย เพราะการแข่งขันที่ผู้คนตั้งใจจะมาดูนั้นไม่ใช่การแข่งขันฟุตบอลในระดับประเทศ ไม่ใช่การแข่งขันของทีมชาติไทย ไม่ใช่แม้กระทั่งการแข่งขันของลีกสูงสุดอย่างไทยลีก (ซึ่งในวันเดียวกันนั้นก็มีทีมที่ลงทำการแข่งขันและมีผู้ชมบางตาจนใจหาย)

แต่เป็น การแข่งขันฟุตบอลในระดับเยาวชน “ฟุตบอลนักเรียน 7 คน แชมป์กีฬา 7 สี 2025” ซึ่งก็เป็นรายการแข่งขันที่มีขึ้นทุกปี มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 (ค.ศ.2003) แล้ว

ปรากฏการณ์สนามศุภฯแตก ถอดรหัสหมอนทองวิทยา-บอล7สี  เรื่องมหัศจรรย์ลูกหนังขาสั้นเมืองไทย ปรากฏการณ์สนามศุภฯแตก ถอดรหัสหมอนทองวิทยา-บอล7สี  เรื่องมหัศจรรย์ลูกหนังขาสั้นเมืองไทย

หมอนทองวิทยา รถขนฝัน Underdog ที่ชนะใจทุกคน

หัวใจสำคัญของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากความมหัศจรรย์ของทีมฟุตบอลโรงเรียนเล็กๆแห่งหนึ่งจากจังหวัดฉะเชิงเทรา อย่างโรงเรียนหมอนทองวิทยา ชื่อที่ใครได้ยินครั้งแรกก็ติดหูได้ทันทีเพราะชวนให้คิดถึงราชาแห่งผลไม้สีเหลืองทอง แม้ว่าตามประวัติแล้วชื่อนี้จะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับทุเรียนเลยก็ตาม

หมอนทองวิทยา เป็นทีมโรงเรียนเล็กๆที่มีองค์ประกอบสุดยอดสำหรับการเป็นเรื่องเล่าระดับตำนาน

ไม่ว่าจะเป็น ทีมที่รวบรวมเอานักฟุตบอลระดับเยาวชนที่อาจจะไม่ผ่านการคัดตัวหรือไม่เข้าตาจากทีมโรงเรียนอื่นที่ถูกเปรียบว่าเป็นเหมือน ‘เศษแก้ว’ มารวบรวมเอาไว้ด้วยกัน ก่อนจะถูกหลอมรวมให้กลายเป็นแก้วใบใหม่ที่สวยงามกว่า

ปรากฏการณ์สนามศุภฯแตก ถอดรหัสหมอนทองวิทยา-บอล7สี  เรื่องมหัศจรรย์ลูกหนังขาสั้นเมืองไทย

 

บุคคลสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังก่อนจะกลายเป็นคนเบื้องหน้าคืออาจารย์ สกล เกลี้ยงประเสริฐ ผู้ฝึกสอนของทีม ซึ่งเป็นโค้ชทีมนักเรียนในระดับตำนานของประเทศไทยที่ผ่านร้อนและหนาวในวงการนี้มายาวนานกว่า 40 ปี เคยสร้างตำนานพาทีมสุรศักดิ์มนตรี คว้าแชมป์ 5 สมัยมาแล้ว

โดยที่ในแต่ละวันของการแข่งขันอ.สกล จะเป็นผู้ขับรถสองแถวคันเก่าๆมาส่งเด็กๆด้วยตัวเองที่สนามเพราะมั่นใจว่าจะส่งเด็กๆถึงสนาม และพาเด็กๆกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยมากกว่าการนั่งรถที่คนอื่นขับให้ 

รถคันนี้ถูกเรียกว่าเป็น ‘รถขนฝัน’ 

ปรากฏการณ์สนามศุภฯแตก ถอดรหัสหมอนทองวิทยา-บอล7สี  เรื่องมหัศจรรย์ลูกหนังขาสั้นเมืองไทย

การเป็นทีมเล็กแต่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าเป็น Underdog story คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนเริ่มให้ความสนใจทีมเจ้าของสมญา “เซลติกแห่งบางน้ำเปรี้ยว” (มาจากสีเสื้อที่คล้ายคลึงทีมกลาสโกว์ เซลติก ทีมดังของสกอตแลนด์) มากขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะหลังผ่านจากรอบคัดเลือกเข้ามาถึงรอบหลัก และผ่านด่านทีมระดับหัวแถวของประเทศได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทีมอัสสัมชัญธนบุรี 4-3 (รอบ 16 ทีมสุดท้าย), เทพศิรินทร์ 7-6 (รอบ 8 ทีมสุดท้าย) และอัสสัมชัญศรีราชา ทีมตัวเต็ง 6-3 (รอบรองชนะเลิศ)

ในแต่ละนัดที่ผ่านไป ก็ยิ่งมีคนสนใจในเรื่องราวของพวกเขา เริ่มถูกนำเสนอในวงกว้าง จนกลายเป็น Talk of the town ทุกบ้านร้านตลาดพยายามเอาใจช่วยทีมเล็กๆที่เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าลูกหนังที่โรแมนติกที่สุดทีมนี้ 

สิ่งนี้นำไปสู่ความมหัศจรรย์ของเกมฟุตบอลไทย

 

ฟุตบอล 7 สี บทพิสูจน์บอลเด็กไม่ใช่เรื่องเล็กเสมอไป

อย่างไรก็ดีต่อให้ทีมดีแค่ไหน เด็กมีความสามารถแค่ไหน หากไม่มี “เวที” ที่จะให้พวกเขาได้เฉิดฉายแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร

ส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์คือความสำเร็จของช่อง 7 ในฐานะเจ้าของรายการแข่งขันที่ยืนหยัดจัดการแข่งขันฟุตบอลเด็ก 7 คนมาตลอดยาวนานกว่า 22 ปี เพื่อเป็นเวทีสร้างเยาวชนให้แก่วงการฟุตบอลไทย 

มีนักฟุตบอลจำนวนไม่น้อยที่ผ่านเวที 7 สีมาก่อน โดยที่แต่ละโรงเรียนก็ให้ความสำคัญกับการแข่งขันรายการนี้ไม่น้อยไปกว่ารายการระดับประเทศรายการอื่นเลย 

ในยุคปัจจุบันหลายโรงเรียนยังเป็น “อคาเดมี” หรือโรงเรียนสำหรับนักฟุตบอลของสโมสรที่ให้การสนับสนุน เช่น อบจ.ชัยนาท คืออคาเดมีของทีมชัยนาท ยูไนเต็ด หรือโรงเรียนภัทรบพติร คืออคาเดมีของทีมบุรีรัย์ ยูไนเต็ด

เรียกว่าเป็นรายการสร้างคนสร้างทีมของแท้ โดยที่เจ้าภาพอย่างช่อง 7 พยายามในการพัฒนาเปลี่ยนแปลงให้สนุกขึ้นเรื่อยๆด้วย

หนึ่งในสูตรสำเร็จคือการถ่ายทอดสดที่มีคุณภาพสูง งานโปรดักชั่นในระดับประเทศ ทำให้ภาพการแข่งขันออกมาดูดี ถ่ายทอดสดให้ชมกันฟรีๆ ก่อนจะกลายเป็น “คอนเทนต์ไวรัล” ในยุคโซเชียลมีเดียที่มีเหล่าครีเอเตอร์นำส่วนหนึ่งของการแข่งขันมาตัดเป็นคลิปสั้นผ่านช่องทางอย่าง TikTok และ Reels (Instagram, Facebook)

คลิปไฮไลต์ทีเด็ดการเล่นของน้องๆที่งัดความสามารถออกมาโชว์ ทำให้บางคนกลายเป็นขวัญใจ เป็นสตาร์ที่ทุกคนจับตามอง 

ยกตัวอย่าง เช่น วรากร ช่างเขียนดี หรือ “เต”​ เจ้าของสมญานาม “วิตินญาเมืองไทย” (วิตินญาคือกองกลางระดับโลกทีมชาติโปรตุเกส) ซึ่งเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมหมอนทองวิทยา หรือ พายัก สีพะนม กัปตันทีม อบจ.ชัยนาท ที่ครองรางวัลนักฟุตบอลทรงคุณค่าของรายการ (MVP) ซึ่งเป็นนักเตะเยาวชนทีมชาติลาวก็มีแฟนๆติดตามเอาใจช่วยไม่น้อย

สิ่งเหล่านี้คือกระจกสะท้อนให้เห็นว่าฟุตบอลเด็กไม่ใช่เรื่องเล็กเสมอไป บอล 7 สีพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วหลายปีอย่างสม่ำเสมอ

มันสามารถทำให้ใหญ่ได้ สร้างมูลค่าได้ ควบคู่ไปกับการพัฒนารากฐานวงการฟุตบอลเยาวชนของประเทศอย่างยั่งยืน

ปรากฏการณ์สนามศุภฯแตก ถอดรหัสหมอนทองวิทยา-บอล7สี  เรื่องมหัศจรรย์ลูกหนังขาสั้นเมืองไทย

อินเตอร์ไฮโมเดล อนาคตของประเทศไทย?

ความสำเร็จของบอล 7 สี ที่นำไปสู่ปรากฏการณ์ “สนามศุภฯแตก” ทำให้ทุกภาคส่วนเริ่มให้ความสนใจกับฟุตบอลเด็กอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

การอัดฉีดทั้งทีมหมอนทองวิทยา จากบรรดาบุคคลผู้มีชื่อเสียงรวมถึงนักการเมือง เช่นกันกับทีมอบจ.ชัยนาท เป็นหนึ่งในเครื่องสะท้อนปรากฏการณ์นี้

เพียงแต่การอัดฉีดเป็นตัวเงินอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาการพัฒนาฟุตบอลและวงการกีฬาของประเทศได้ เพราะการจะแก้ไขปัญหาได้คือการออกแบบระบบและสร้างเวทีที่ดี มีคุณค่า และสนับสนุน “ทั้งวงการ” อย่างจริงจัง

หนึ่งในโมเดลต้นแบบที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือการแข่งขันฟุตบอลในระดับมัธยมของประเทศญี่ปุ่น ที่เรียกกันว่า “อินเตอร์ไฮ” ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับรายการบอล 7 สีอยู่บ้าง ในแง่ที่ทีมเข้าร่วมการแข่งขันมีความฝันที่อยากจะคว้าแชมป์ให้ได้ และมีจำนวนผู้ชมมากมายเต็มสนามเหมือนกัน

เพียงแต่อินเตอร์ไฮไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วหายไป แต่เป็นความมหัศจรรย์ธรรมดาที่เกิดขึ้นในทุกปี เพราะชาวญี่ปุ่นให้ความรักและความสำคัญกับการแข่งขันฟุตบอลแม้กระทั่งในระดับเยาวชน

หัวใจนั้นมาจากรากฐานของเกมระดับโรงเรียนที่ไม่ได้มีเพียงแค่ความเข้มข้น แต่ยังเป็นอีกเวทีและเส้นทางที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ ซึ่งญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีการพัฒนาเส้นทาง 2 สายสำหรับเยาวชน

หนึ่งคือเส้นทางสายอาชีพ ผ่านระบบอคาเดมีของทีมฟุตบอล

อีกหนึ่งคือเส้นทางสายการศึกษา ผ่านทีมโรงเรียนต่อด้วยทีมมหาวิทยาลัย ซึ่งในแบบที่ 2 นี้ก็เป็นเส้นทางที่สร้างนักเตะทีมชาติญี่ปุ่นมามากมาย โดยปัจจุบัน 1 ใน 3 ของนักเตะทีมชาติญี่ปุ่น (ซึ่งปัจจุบันเอาชนะบราซิลได้แล้ว!) มาจากสายการศึกษา เช่น คาโอรุ มิโตมะ สตาร์ของทีมไบรท์ตัน ในพรีเมียร์ลีก

ในเมื่อประเทศไทยมีผู้ชมที่สนใจกับบอลโรงเรียน บอลนักเรียนจำนวนมากอยู่แล้ว เป็นไปได้ไหมที่จะพัฒนาวงการผ่านเส้นทางนี้ควบคู่กันไป? 

เพียงแต่เรื่องนี้อยู่ในมือของภาครัฐ โดยเฉพาะกรมพละศึกษาในฐานะผู้กำกับดูแลการแข่งขันในระดับเยาวชน จะมีวิสัยทัศน์อย่างไร?

ปรากฏการณ์สนามศุภฯแตก ถอดรหัสหมอนทองวิทยา-บอล7สี  เรื่องมหัศจรรย์ลูกหนังขาสั้นเมืองไทย

อย่าให้หมอนทองมีครั้งเดียว

“ปีหน้าพวกผมจะมาเอาแชมป์” คือคำประกาศกร้าวของนักเตะหมอนทองวิทยา ผู้ผิดหวังจากนัดชิงชนะเลิศพลิกพ่ายต่อทีม อบจ.ชัยนาท ไปอย่างหวุดหวิด 2-1 หลังยิงประตูขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่ต้นเกมแต่โดนยิงแซงคืน 2 ประตูรวดในช่วงท้ายเกม

จากคำพูดนี้คือความหวังว่าเราอาจจะได้เห็นปรากฏการณ์แบบเดียวกันนี้อีกใน ฟุตบอล 7 สีปีหน้า

เพียงแต่มันจะดีกว่าหากเราจะมีทีมแบบหมอนทองวิทยาทีมที่ 2-3-4-5 เพิ่มขึ้นอีก อาจจะไม่ถึงขั้นสร้างปรากฏการณ์ได้เหมือนครั้งนี้ แต่อย่างน้อยก็สร้างสีสัน สร้างสตอรีที่น่าติดตาม

รวมถึงการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่อยากเห็นการเข้ามาช่วยเหลือวงการบอลเยาวชนที่มากกว่าแค่การออกมาบอกว่าจะอัดฉีดเงินจำนวนเท่านั้นเท่านี้แล้วจบ แค่อยาก “โหนกระแส” 

เงินนั้นสำคัญแต่เงินไม่ใช่ทุกอย่าง และเงินซื้อทุกอย่างไม่ได้

บางอย่างมันต้องการเวลา ความทุ่มเท ความเสียสละ เพื่อจะแลกมาซึ่งความสำเร็จ ซึ่งวงการฟุตบอลเด็กสิ่งเหล่านี้ต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุด ในช่วงวัยที่พวกเขาควรจะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านความพยายามของตัวเอง

ผู้ใหญ่มีหน้าที่เพียงแค่สนับสนุนและมอบโอกาสให้พวกเขาเท่านั้นพอ

แต่อย่างน้อยที่สุดเชื่อได้ว่าในปีหน้าการแข่งบอล 7 สี น่าจะมีจำนวนผู้สนับสนุนเพิ่มมากขึ้น จะมีผู้ชมที่เฝ้ารอติดตามเพิ่มขึ้น และได้รับความสนใจจากสังคมมากขึ้น ไม่ใช่แค่ในสนาม แต่รวมถึงผู้ชมอีกเรือนแสนเรือนล้านที่จะรอติดตาม

เป็นประกายความหวังของความฝันเล็กๆในวันที่แห้งแล้ง ว่าสักวันหนึ่งฟุตบอลไทยจะดีกว่าเดิม

เพิ่มเติมคืออยากให้คิดกันรอบด้าน มองถึงวันข้างหน้า และที่สำคัญคือคิดเพื่อ “เด็ก” 

หวังว่าเราจะได้เจอปรากฏการณ์แบบนี้อีกเรื่อยๆ จนกลายเป็นความมหัศจรรย์ธรรมดา ที่ทุกคนเฝ้ารอมันกลับมาในช่วงเวลานี้ของปี