AI-washing บริษัทอยากปลดคน แต่ใช้ AI เป็นข้ออ้าง ลดต้นทุนเนียนๆ

ปรากฏการณ์ AI-washing เมื่อบริษัทใหญ่ทั่วสหรัฐ แห่ปลดพนักงาน 6 หมื่นคน อ้าง AI ทำงานแทนได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญแฉ เป็นการกลบการบริหารพลาด ลดต้นทุนแนบเนียนที่สุดในรอบ 10 ปี
KEY
POINTS
- ปรากฏการณ์ “AI-washing” คือ การที่บริษัทใช้ AI เป็นข้ออ้างในการปลดพนักงานจำนวนมาก เพื่อลดต้นทุน และกลบเกลื่อนปัญหาการบริหารจัดการภายใน
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของการเลิกจ้าง ไม่ใช่การแทนที่คนด้วย AI แต่เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจ การจ้างงานเกินความจำเป็นในช่วงโควิด หรือการปรับโครงสร้างธุรกิจ
- กรณีศึกษาจากบริษัทใหญ่อย่าง Amazon, UPS และ Target สะท้อนว่าการปลดคนมีเป้าหมายเพื่อลดขนาดองค์กร และปรับโครงสร้างให้คล่องตัวขึ้น เพื่อนำเงินไปลงทุนในเทคโนโลยี ไม่ใช่เพราะ AI เข้ามาแย่งงานโดยตรง
ปลายปี 2025 โลกธุรกิจกำลังเผชิญปรากฏการณ์ปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ตั้งแต่ Amazon, UPS ไปจนถึง Target ประกาศเลิกจ้างพนักงานรวมกันกว่า 60,000 ตำแหน่งภายในเวลาไม่ถึงปี ข่าวการปลดคนระลอกนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดแรงงานอย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม “พนักงานออฟฟิศ” หรือ white-collar ที่หลายคนเชื่อว่ากำลังถูกเทคโนโลยี AI เข้ามาแทนที่ แม้จะมาอย่างช้าๆ แต่มาแน่นอน
แม้ผู้บริหารองค์กรหลายแห่งจะอ้างว่า การปลดคนออกระลอกนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวสู่ยุค AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุน แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับมองต่างออกไป พวกเขาเตือนว่าปรากฏการณ์นี้อาจไม่ได้เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทั้งหมด หากแต่เป็นผลจาก “AI-washing” กลยุทธ์ที่บริษัทใช้ “ข้ออ้างของ AI” มาเป็นฉากหน้า เพื่อกลบเกลื่อนการบริหารผิดพลาด หรือปัญหาเชิงโครงสร้างที่หมักหมมมานาน
AI แค่ข้ออ้าง? เบื้องหลังการปลดคนออก จริงๆ ซับซ้อนกว่าที่เห็น
ปีเตอร์ คาเปลลี (Peter Cappelli) ศาสตราจารย์ด้านการจัดการจาก Wharton School มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย กล่าวกับ CNBC ว่า “เราศึกษาหลายบริษัทที่นำ AI มาใช้จริง แต่แทบไม่พบหลักฐานว่ามันช่วยลดคนได้มากอย่างที่หลายองค์กรกล่าวอ้าง การใช้ AI เพื่อแทนแรงงานเป็นเรื่องซับซ้อนมาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลจริง”
เขาชี้ว่า บริษัทส่วนใหญ่พูดถึง AI ในลักษณะ “ฟังดูดี” มากกว่าจะลงมือใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง อีกทั้ง การปลดพนักงานในรอบนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐ กำลังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง และตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรง
ขณะเดียวกัน สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) ไม่สามารถออกรายงานจ้างงานประจำเดือนตามปกติได้เพราะรัฐบาลสหรัฐ ปิดทำการชั่วคราว ทำให้การประเมินสถานการณ์แรงงานยิ่งเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
จอห์น ชาลเลนเจอร์ (John Challenger) ซีอีโอของบริษัทจัดหางาน Challenger, Gray & Christmas มองว่าการเลิกจ้างในวงกว้างอาจเป็น “สัญญาณเตือนว่าตลาดแรงงานเริ่มวิกฤติ” เพราะก่อนหน้านี้เศรษฐกิจยังอยู่ในจุดที่ไม่จ้างเพิ่มแต่ก็ไม่ปลด แต่ตอนนี้เริ่มมีการปรับลดจริงๆ และอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของตลาดแรงงานในปีนี้”
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ตลาดหุ้นสหรัฐ กลับไม่สะทกสะท้านต่อข่าวปลดคน เพราะบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (AI megacaps) อย่าง Nvidia หรือ Microsoft ยังคงหนุนตลาดให้ยืนสูงใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนความเหลื่อมล้ำระหว่าง “ความมั่งคั่งในตลาดทุน” กับ “ความไม่มั่นคงในตลาดแรงงาน” ได้อย่างชัดเจน
Amazon-UPS-Target: ภาพสะท้อนองค์กรที่เติบโตเร็วเกินไป
ในบรรดาบริษัทที่ตกอยู่ในกระแสข่าว Amazon คือ กรณีศึกษาที่ชัดที่สุด บริษัทเคยเร่งขยายทีมอย่างหนักในช่วงโควิด-19 เพื่อรองรับดีมานด์ของอีคอมเมิร์ซ และบริการคลาวด์ แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว บริษัทกลับพบว่ามีพนักงานมากเกินความจำเป็น หลังจาก แอนดี แจสซี (Andy Jassy) เข้ามาเป็นซีอีโอแทน เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) เขาจึงเริ่มแผน “ลดขนาดองค์กร” ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท
การปลดพนักงานกว่า 14,000 ตำแหน่งในปีนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการ “ลดชั้นการบริหารที่เทอะทะ” และปรับองค์กรให้ “กลับมาคล่องตัวแบบสตาร์ตอัป” อีกครั้ง ซีอีโอแจสซียืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีแรงผลักจาก AI โดยตรง แต่บริษัทจำเป็นต้อง “ลดต้นทุนเพื่อเพิ่มงบลงทุนด้านเทคโนโลยี” โดยเฉพาะในระบบ AI และโครงสร้างคลาวด์ที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่
เขากล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นว่า “AI จะทำให้เราใช้คนน้อยลงในบางตำแหน่ง แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างงานใหม่อีกมากในสาขาที่ต้องใช้ทักษะสูงกว่า เช่น การพัฒนาโมเดล การจัดการระบบ และการออกแบบผลิตภัณฑ์” นั่นสะท้อนให้เห็นว่าการปลดคนของ Amazon ไม่ได้หมายถึง “ลดคนเพราะ AI” แต่คือการ “ลดเพื่อเอื้อให้ลงทุนกับ AI” มากกว่า
ฝั่งของ UPS บริษัทขนส่งระดับโลกก็ประกาศปลดพนักงานรวมกว่า 48,000 คนทั่วสหรัฐ โดยมากเกิดจากการ “ปิดศูนย์กระจายสินค้า” และ “ปรับโครงสร้างธุรกิจ” ไม่ใช่เพราะหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่คน แต่เพราะบริษัทเลือกเดินเกมใหม่ เน้นธุรกิจที่มีกำไรสูงกว่า เช่น การขนส่งด้านสุขภาพ และธุรกิจแบบ B2B มากกว่าการพึ่งพาการขนส่งสินค้าของ Amazon ที่เคยสร้างรายได้ถึง 12% ของทั้งหมด
แม้ UPS จะเดินหน้าลงทุนในระบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าภายในปลายปีนี้ 66% ของพัสดุทั้งหมดจะผ่านศูนย์อัตโนมัติ แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง เจสัน มิลเลอร์ (Jason Miller) จากมหาวิทยาลัย Michigan State ชี้ว่า งานที่ UPS ลดลงอาจไม่ได้ “หายไปจากระบบเศรษฐกิจ” หากแต่ “ย้ายไปอยู่ในบริษัทโลจิสติกส์อื่น” แทน
ส่วนในฝั่งค้าปลีก Target ซึ่งเพิ่งประกาศปลดพนักงานสำนักงาน 1,800 คน หรือราว 8% ของทีมองค์กร ก็สะท้อนปัญหาที่ต่างออกไป บริษัทต้องเผชิญยอดขายที่ซบเซาต่อเนื่อง และปัญหาความซับซ้อนภายในองค์กรที่ทำให้การตัดสินใจล่าช้า อีกทั้งได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาซื้อเฉพาะสินค้าจำเป็น ขณะที่รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนยังไม่เพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้สินค้าขายไม่ออก
ไมเคิล ฟิดเดลคี (Michael Fiddelke) ซีอีโอคนใหม่ของ Target ยอมรับในจดหมายภายในว่า “ความซับซ้อนที่เราสร้างขึ้นเอง กลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางความเร็วและประสิทธิภาพในการทำงาน” เขาไม่ได้เอ่ยถึง AI เลย แต่ระบุว่าการลดตำแหน่งจะช่วยให้บริษัท “ขับเคลื่อนเร็วขึ้น และสามารถเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้จริง”
เมื่อ “AI” กลายเป็นคำอธิบายสำเร็จรูปของทุกปัญหา
ปรากฏการณ์ “AI-washing” กำลังสะท้อนภาพใหม่ของโลกธุรกิจยุคนี้ บริษัทจำนวนมากเลือกใช้คำว่า “AI” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการลดต้นทุน แทนที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาเชิงโครงสร้างของตัวเอง ผู้เชี่ยวชาญมองว่านี่คือ “กลยุทธ์การตลาด” มากพอๆ กับ “กลยุทธ์ทางธุรกิจ” เพราะการพูดถึง AI ทำให้บริษัทดูเหมือนทันสมัย มีนวัตกรรม และบริหารอย่างมีเหตุผลในสายตานักลงทุน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความจริงคือ พนักงานจำนวนมากกำลังตกอยู่ในสภาวะไม่มั่นคง พวกเขากลัวว่าจะถูกแทนที่โดยเทคโนโลยี ทั้งที่ในหลายกรณี AI ยังไม่สามารถแทนแรงงานมนุษย์ได้จริง ความไม่มั่นใจนี้เองที่กำลังกลายเป็น “แรงกดดันใหม่ในที่ทำงาน” ซึ่งอาจกระทบต่อสุขภาพจิต และวัฒนธรรมองค์กรในระยะยาว
คลื่นปลดพนักงานครั้งใหญ่ในสหรัฐ ครั้งนี้ จึงแสดงให้เห็นฉากทัศน์ของโลกธุรกิจยุคใหม่ ที่มีทั้งแรงกระแทกจากเทคโนโลยี AI , ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน, แรงกดดันจากนักลงทุน ต่างประดังประเดเข้ามาจนบริษัทตั้งรับไม่ทัน
บางบริษัทปรับตัวทันก็เริ่มใช้ AI อย่างชาญฉลาดเพื่อสร้างงานใหม่ แต่บางแห่งกลับใช้คำว่า “AI” เพื่อปิดบังความล้มเหลวในการบริหาร สุดท้ายแล้ว ความเสี่ยงที่แท้จริงอาจไม่ใช่ “AI แย่งงานมนุษย์” แต่คือ “มนุษย์ที่ใช้ AI เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง” ต่างหาก
อ้างอิง: CNBC Economy, Press Amazon
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







