เลื่อนเวลานอนแค่ 1 ชม. วัยทำงานเสี่ยงสมองรวน ประสิทธิภาพงานตกฮวบ

เลื่อนเวลานอนแค่ 1 ชม. วัยทำงานเสี่ยงสมองรวน ประสิทธิภาพงานตกฮวบ

เปลี่ยนเวลานอนแค่ 1 ชม. อาจเป็นกับดักทำนาฬิกาชีวิตสับสน สมองรวน สมาธิไม่ดี ทำงานแย่ลง เปิดเคสศึกษา DST เวลาเปลี่ยนตามฤดูกาล ชี้ ทำวัยทำงานเหนื่อยล้า ขาดโฟกัสจริง

KEY

POINTS

  • การเปลี่ยนเวลานอนแม้เพียง 1 ชั่วโมง สามารถรบกวนนาฬิกาชีวิต (circadian rhythm) ได้มากกว่าที่คิด สมองทำงานช้าลง ขาดสมาธิ และรู้สึกอ่อนเพลีย
  • ผลกระทบดังกล่าวส่งผลโดยตรง ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกหลังการเปลี่ยนเวลานอน
  • ปรากฏการณ์นี้พบได้ชัดเจนในประเทศที่มีการปรับเวลาตามฤดูกาล (Daylight Saving Time) และยังเป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ที่ทำงานเป็นกะหรือมีเวลานอนไม่สม่ำเสมอ

การเปลี่ยนเวลานอนบ่อยๆ แค่ 1 ชั่วโมง ก็สามารถทำให้สมองรวน และประสิทธิภาพการทำงานลดลงได้มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะวัยทำงานในบางประเทศที่มีการปรับเปลี่ยนเวลาตามฤดูกาล ซึ่งแม้จะทำให้หลายคน “ได้นอนเพิ่มอีกหนึ่งชั่วโมง” ก็ตาม โดยเฉพาะในช่วงการเปลี่ยนเวลาตามฤดูกาล หรือ Daylight Saving Time (DST) ของกลุ่มคนทำงานในสหรัฐฯ

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้วัยทำงานจะได้นอนเพิ่มอีกชั่วโมง แต่ประสิทธิภาพการทำงานกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะการเปลี่ยนเวลานอนเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ระบบร่างกายแปรปรวนได้ 

แค่เปลี่ยนเวลานอน 1 ชั่วโมง ทำสมองรวน-ร่างกายสับสน

การเปลี่ยนเวลานอนเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงอาจฟังดูเล็กน้อย แต่ในทางชีววิทยา มันเพียงพอจะทำให้ “นาฬิกาชีวิต” หรือระบบ circadian rhythm ของร่างกายเสียสมดุลได้เลยทีเดียว โดยเมื่อวงจรเวลาในร่างกายถูกรบกวน คนทำงานมักจะรู้สึกเบลอ คิดช้าลง มีปัญหาด้านสมาธิ และรู้สึกเหมือนพักผ่อนไม่เพียงพอ แม้จะนอนเต็มอิ่มครบตามชั่วโมงที่แพทย์แนะนำก็ตาม

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาการเหล่านี้ มักเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงต้นสัปดาห์หลังการเปลี่ยนเวลา โดยเฉพาะในบางประเทศที่ยังมีการปรับนาฬิกาตามฤดูกาล โดยกรณีล่าสุดที่สะท้อนชัดคือใน สหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ช่วงสิ้นสุด Daylight Saving Time (DST) หรือ “การปรับเวลาเพื่อให้ใช้แสงธรรมชาติได้ยาวนานขึ้น”

ในวันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายนนี้ ชาวอเมริกันจะต้องหมุนนาฬิกาย้อนหลังหนึ่งชั่วโมง เหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนเชื่อว่า “เป็นข้อดีที่ตนเองได้นอนเพิ่ม” แต่ผลวิจัยกลับบอกในสิ่งที่ตรงกันข้าม

ดร.เบนจามิน แกรนเจอร์ (Benjamin Granger) หัวหน้านักจิตวิทยาองค์กรของบริษัท Qualtrics ให้สัมภาษณ์กับ Fortune ว่า แม้จะรู้สึกเหมือนได้พักมากขึ้น แต่สมองกลับต้องใช้เวลาในการรีเซตระบบภายในให้ตรงกับเวลาใหม่

“การเปลี่ยนเวลานอนเพียงเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลต่อสมาธิและประสิทธิภาพการทำงานมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะในช่วงวันแรกๆ ที่ร่างกายยังไม่ปรับตัว คุณอาจรู้สึกเหมือนสมองทำงานช้าลง หรือโฟกัสไม่ได้ แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะโดยทั่วไปสมองจะปรับตัวได้ในไม่กี่วัน” ดร.แกรนเจอร์กล่าว

เมื่อ “เวลานอนเพิ่ม” กลายเป็น “ภาระต่อสมอง”

Daylight Saving Time ถูกนำมาใช้ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน แต่ในปัจจุบัน หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่าประโยชน์นั้นคุ้มกับผลเสียต่อสุขภาพหรือไม่

นักวิจัยชี้ว่า การเปลี่ยนเวลานอนหรือเวลาทำงานเพียงหนึ่งชั่วโมงสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อ อาการอ่อนเพลีย ภาวะซึมเศร้า สมาธิสั้น และอุบัติเหตุจากความง่วงหลับใน ได้ โดยเฉพาะในสัปดาห์แรกของการเปลี่ยนเวลา

แม้จะมีความพยายามจากหลายฝ่าย รวมถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่ในยุคหนึ่งเขาก็เคยต้องการยกเลิกการเปลี่ยนเวลานี้ แต่ร่างกฎหมาย Sunshine Protection Act ซึ่งเสนอให้ใช้เวลาเดียวตลอดทั้งปี ก็ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร

ทรัมป์เคยโพสต์ข้อความว่า “เราควรมีแดดในตอนเย็นมากขึ้น และเลิกยุ่งกับนาฬิกาเสียที เพราะมันสิ้นเปลืองและยุ่งยากโดยไม่จำเป็น”

วิธีรับมือ "อาการสมองรวน" ของวัยทำงาน หากเปลี่ยนเวลานอน

ดร.แกรนเจอร์ แนะนำว่า การปรับตัวอย่างมีระบบ จะช่วยลดผลกระทบของการเปลี่ยนเวลานอนแบบกะทันหันได้ โดยเริ่มจาก 

1. รีบปรับตารางชีวิตให้เร็วที่สุด
กล่าวคือ ฝึกเข้านอนและตื่นตามเวลาที่เปลี่ยนทันที แม้ในวันหยุด เพื่อให้สมองตั้งเข็มนาฬิการ่างกายใหม่ได้เร็ว

2. เปิดรับแสงธรรมชาติในยามเช้าให้มากขึ้น
เนื่องจากแสงแดดยามเช้าช่วยปรับสมดุลของนาฬิกาชีวิต ทำให้รู้สึกตื่นตัวและมีพลังได้ในช่วงกลางวัน และนอนหลับได้ดีขึ้นในตอนกลางคืน

3. เพิ่มความยืดหยุ่นให้พนักงาน
ผู้บริหารหรือหัวหน้าทีม ควรเข้าใจว่าการเปลี่ยนเวลานี้กระทบชีวิตครอบครัวของพนักงาน โดยเฉพาะผู้ปกครองที่ต้องปรับตารางลูกเล็ก ควรมีนโยบายเพิ่มความยืดหยุ่นในตารางการทำงาน

“มันอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับบางคน การขยับเวลาเพียงชั่วโมงเดียวก็สร้างความวุ่นวายไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่ต้องจัดการทั้งงานและครอบครัวพร้อมกัน” นักจิตวิทยาองค์กร เน้นย้ำ

สำหรับวัยทำงานคนไทยอาจไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้เหมือนในต่างประเทศ แต่ข้อมูลนี้ก็ช่วยให้คนที่ทำงานแบบเปลี่ยนกะเวลางานบ่อยๆ หรือคนที่เข้านอนไม่เป็นเวลา ได้รู้ตัวว่า การทำแบบนั้นส่งผลเสียต่อร่างกาย และการทำงานของคุณได้อย่างมาก ทั้งทำให้สมองสับสน สมาธิลดลง และประสิทธิภาพการทำงานถดถอยโดยไม่รู้ตัว

หากวัยทำงานที่จำเป็นต้องเปลี่ยนกะทำงานจริงๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องรู้จักการรักษา “จังหวะของร่างกาย” ให้สม่ำเสมอ และจัดตารางชีวิตให้ร่างกายปรับตัวอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมงที่นอน แต่ขึ้นอยู่กับการนอนอย่างสมดุล และมีคุณภาพให้มากที่สุด 

 

 

อ้างอิง: Fortune, Fortune2, Reuters