หยุดโทษ Gen Z ขี้เกียจ! ปัญหาจริง อาจเพราะระบบการทำงานพังไปแล้ว

43% ของ Gen Z รู้สึกโดดเดี่ยวในชีวิตการงาน ขณะที่เด็กจบใหม่กว่า 60% ต้องทำงานสาขาที่ไม่ได้เรียนมา ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่เก่ง แต่ระบบแรงงานไม่เคยต้อนรับคนรุ่นใหม่
KEY
POINTS
- ปัญหาการว่างงานของเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้เกิดจากความเกียจคร้านหรือขาดทักษะ แต่มาจากระบบแรงงานที่ไม่ปรับตามยุคสมัย มีความคาดหวังสูงแต่ให้โอกาสต่ำ
- คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญอุปสรรคหลายด้าน เช่น การแข่งขันกับ AI ในตำแหน่งเริ่มต้น, ข้อกำหนดประสบการณ์ทำงานที่ไม่สมจริง และการขาดระบบแนะแนวอาชีพที่มีประสิทธิภาพ
- การที่องค์กรปฏิเสธการจ้างงาน Gen Z อาจช่วยลดต้นทุนในระยะสั้น แต่จะสร้าง "ช่องว่างผู้นำ" ในระยะยาว เมื่อคนรุ่นก่อนเกษียณและไม่มีคนรุ่นใหม่มาแทนที่
- นายจ้างควรปรับทัศนคติโดยเปลี่ยนนิยามตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นให้เน้นทักษะแทนประสบการณ์, สร้างโอกาสในการฝึกงาน และร่วมมือกับภาคการศึกษามากขึ้น
เด็กจบใหม่ตกงานไม่ใช่เพราะ “ขี้เกียจ” หรือ “ไม่มีทักษะ” อย่างที่ใครชอบพูด แต่เพราะระบบแรงงานที่ไม่เคยปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงของยุคใหม่ นั่นคือปัจจัยทำให้ผลักพวกเขาให้หลุดออกจากตลาดงาน ถึงเวลาที่ผู้นำองค์กรต้องยอมรับว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ Gen Z แต่อยู่ที่ “ระบบ” การทำงานทั้งระบบ
จุดเริ่มต้นชีวิตทำงานที่ควรสดใส กลับกลายเป็นเกมเอาชีวิตรอด
การหางานควรเป็นช่วงเวลาแห่งความหวัง แต่สำหรับหลายคนใน Gen Z มันกลับกลายเป็นบททดสอบทางใจ ยกตัวอย่างเคสของ แอสเพน เบลีย์ (Aspen Bailey) ผู้ซึ่งจบการศึกษาในปี 2024 ด้วยปริญญาสองใบ ทั้งสาขาวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) และจิตวิทยา (Psychology) แต่ตลอดสองปีที่ผ่านมา เธอยื่นใบสมัครงานไปมากกว่า 1,400 ตำแหน่ง และมีเพียง ประมาณ 50 บริษัท ที่ติดต่อกลับเพื่อสัมภาษณ์ ซึ่งคิดเป็นไม่ถึง 1% ของทั้งหมด
“ฉันรู้สึกพ่ายแพ้ทุกครั้งที่ถูกปฏิเสธ โดยเฉพาะตำแหน่งที่หวังไว้สูงๆ มันบั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจ เหมือนเล่นเกม Call of Duty: Warzone ที่ต้องสู้ซ้ำๆ จนเหนื่อยล้าไปหมด” เธอเล่าอย่างท้อแท้
แอสเพนไม่ใช่คนเดียวที่เผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ แต่เรื่องราวนี้กำลังสะท้อนสถานการณ์จริงของเด็กจบใหม่ทั่วโลก
ข้อมูลล่าสุดในเดือนมิถุนายนปี 2025 ระบุว่า อัตราการว่างงานของบัณฑิตจบใหม่ในสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.8% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของแรงงานทั้งหมด และจากผลสำรวจล่าสุดพบว่า 1 ใน 4 ของคนรุ่นใหม่ไม่สามารถหางานในสายอาชีพที่ต้องการ และกว่า 62% ต้องทำงานไม่ตรงกับสาขาที่เรียนมา
วัยทำงานรุ่น Gen Z เจอวิกฤติการงาน 43% รู้สึกโดดเดี่ยว
นักวิจัยจาก Gallup, Walton Family Foundation และ Jobs for the Future (JFF) ต่างก็เปิดเผยว่า ทั้งคนรุ่นใหม่และผู้ปกครองส่วนใหญ่ ไม่รู้จักทางเลือกหลังเรียนจบที่หลากหลาย เพราะระบบการศึกษาและแนะแนวอาชีพยังจำกัดอยู่แค่ “เรียนให้จบ-หางานทำ” โดยขาดข้อมูลและทรัพยากรสนับสนุนที่เหมาะสม
แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ได้ช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจเส้นทางอาชีพของตัวเองมากขึ้นเลย มีผลสำรวจพบว่า 43% ของคนรุ่นใหม่รู้สึกโดดเดี่ยวและไม่ได้รับคำแนะนำที่เพียงพอในการวางแผนอนาคตการทำงาน
ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ พวกเขายังต้องแข่งขันกับ AI ที่เข้ามาแย่งงานระดับเริ่มต้น (entry-level) ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เช่น งานด้านข้อมูล การตลาด และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสาขาที่เคยเป็น “งานรายได้สูง” อย่างวิทยาการคอมพิวเตอร์ กลับกลายเป็นสมรภูมิที่เด็กจบใหม่ต้องสู้กับซอฟต์แวร์อัตโนมัติที่ทำงานเร็วกว่าและราคาถูกกว่า
ค่านิยมผิด? โลกการทำงานยังเชื่อว่า Gen Z “ไม่อดทน ไม่ทุ่มเท”
ในขณะที่ Gen Z กำลังพยายามปรับตัว พวกเขากลับถูกสังคมบางส่วนตีตราว่า “ไม่มีทักษะถาวร” หรือ “ไม่พร้อมทำงานจริง” บางองค์กรถึงขั้นติดป้ายว่า “คนรุ่นนี้จ้างไม่ได้” แต่ในความจริง คนรุ่นนี้ไม่ได้ขาดความสามารถ พวกเขาแค่ต้องเผชิญกับ ระบบแรงงานที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อพวกเขา หรือแม้หากว่าเด็กจบใหม่ขาดทักษะ นั่นก็อาจจะไม่ใช่ความผิดของพวกเขา แต่มันคือความล้มเหลวของระบบแรงงานที่ไม่เคยเตรียมตัวให้พร้อมหรือเปล่า?
เนื่องจากโลกการทำงานทุกวันนี้กลายเป็นพื้นที่ที่คาดหวังสูงแต่ให้โอกาสต่ำ เด็กจบใหม่ต้องหางานในตลาดที่เต็มไปด้วยข้อกำหนดซับซ้อน เช่น “ต้องมีประสบการณ์อย่างน้อย 3 ปี” สำหรับตำแหน่งเริ่มต้น ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
ประเด็นสำคัญถัดมาที่ชี้ชวนให้คิดต่อก็คือ.. ถ้าไม่แก้เรื่องนี้ตอนนี้ อาจไม่มี “ผู้นำรุ่นต่อไป” ให้ระบบเศรษฐกิจในอนาคต
จริงอยู่ที่บางบริษัทปฏิเสธการจ้างคนรุ่นใหม่ หรือใช้ AI แทนแรงงานคน นั่นอาจช่วยลดต้นทุนในระยะสั้นได้จริง แต่ในระยะยาว จะสร้าง “ช่องว่างอันตราย” ให้ตลาดแรงงาน เพราะเมื่อไม่มีใครได้ฝึกฝนจากตำแหน่งระดับเริ่มต้น ก็จะไม่มีใครพร้อมขึ้นมาทำงานระดับกลางหรือระดับบริหารในอนาคต
และนั่นคือความเสี่ยงใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่คนรุ่น Baby Boomers กำลังทยอยเกษียณออกจากตลาดแรงงานจำนวนมาก ถ้าไม่มีคนรุ่นใหม่ที่เติบโตในระบบ คุณจะเอาใครมาบริหารองค์กรในอีกสิบปีข้างหน้า?
นายจ้างต้องเปลี่ยน! ก่อนที่ระบบแรงงานจะพัง
คำถามจริงๆ ไม่ใช่ว่า “Gen Z พร้อมหรือยัง” แต่คือ “ใครจะเป็นฝ่ายแพ้ ถ้าพวกเขาไม่มีที่ยืนในตลาดแรงงาน?” คำตอบคือ “ตัวองค์กรเอง” เพราะเมื่อบริษัทไม่มีแรงงานรุ่นใหม่มาช่วยขับเคลื่อน นวัตกรรมก็จะหยุดนิ่ง และองค์กรจะสูญเสียศักยภาพการแข่งขันในอนาคต
ดังนั้น นายจ้างต้องเริ่มจากการ “รีเซ็ตความคิด” เกี่ยวกับการจ้างงานคนรุ่นใหม่ โดยมีคำแนะนำ ดังนี้
1. ปรับนิยามของตำแหน่งระดับเริ่มต้น
อย่าตั้งเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้ เช่น “ต้องมีประสบการณ์ 2–3 ปี” สำหรับตำแหน่ง entry-level แต่ให้หันมาเน้น “ทักษะที่ถ่ายโอนได้” เช่น ความคิดเชิงวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีม หรือการแก้ปัญหา ซึ่งพวกเขาฝึกฝนได้จากการเรียน การทำโปรเจกต์ หรือการอาสาสมัคร
2. เปิดโอกาสให้เรียนรู้ผ่านการทำงานจริง
ถ้ายังไม่สามารถรับพนักงานเต็มเวลาได้ทันที ให้เริ่มจากการเปิด ฝึกงานแบบมีค่าตอบแทน (paid internship) หรือ โครงการฝึกอาชีพ (apprenticeship) ที่เปิดทางให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรมฝึกงานของ Pinterest ที่เปิดให้คนจากหลากหลายพื้นฐานความรู้ แม้ไม่ใช่สายเทคโนโลยี ก็ได้ร่วมงานจริงกับทีมด้านวิศวกรรม ดีไซน์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมการให้คำปรึกษาจากพี่เลี้ยงในองค์กร
หรือกรณีของ Tallo บริษัทเทคโนโลยีด้านการแนะแนวอาชีพ ที่เปิด “ไมโครอินเทิร์นชิป” ให้เด็กมัธยมได้ร่วมงานในงานประชุมระดับประเทศ ซึ่งนอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพการจัดงาน ยังสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเข้าใจโลกการทำงานมากขึ้น
3. ร่วมมือกับภาคการศึกษา
องค์กรสามารถร่วมมือกับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ผ่านโครงการ “ห้องเรียนสู่สายอาชีพ” เช่น AP Career Kickstart ของ College Board ที่ช่วยนักเรียนเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับโลกจริง พร้อมสร้างทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการ
ย้อนกลับไปที่ แอสเพน เบลีย์ ที่ทุกวันนี้ยังคงหางานอยู่ แม้จะเจอการปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน แต่เธอยังคงมองโลกในแง่ดี เธอได้เรียนรู้ว่าทักษะที่ได้จากงานอาสาและโครงการฝึกงาน สามารถต่อยอดได้ในหลายสายอาชีพ แม้จะโดนปฏิเสธซ้ำๆ แต่ก็ยังเห็นแสงสว่างปลายทาง เพราะเส้นทางอาชีพไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
เราอาจไม่สามารถคาดเดาได้ว่า AI จะเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างไร แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ เราไม่สามารถปล่อยให้คนรุ่นใหม่ต้องต่อสู้ตามลำพังได้อีกต่อไป หากผู้นำและนายจ้างเริ่มมอง Gen Z ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่การตัดสิน เราอาจได้เห็น “แรงงานยุคใหม่” ที่เก่งกว่าเดิม ยืดหยุ่นกว่าเดิม และพร้อมสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิม
อ้างอิง: Fortune, Gallup, tallo Survey, TheAtlantic, CNN







