ที่ทำงานเป็นพิษ รู้ง่ายๆ 4 จุดบนใบประกาศงาน เจอแบบนี้..หนีไป!

ที่ทำงานเป็นพิษ รู้ง่ายๆ 4 จุดบนใบประกาศงาน เจอแบบนี้..หนีไป!

ระวังคำลวงในประกาศสมัครงาน “หาคนที่คิดนอกกรอบ” หรือ “พร้อมโตไปด้วยกัน” อาจฟังดูดีแต่เป็นกับดัก! ผู้เชี่ยวชาญแฉ 4 ประโยคส่อถึงที่ทำงานเป็นพิษ เจอแบบนี้รีบหนีไป!

KEY

POINTS

  • คำเตือนคนหางาน หากเจอใบประกาศงานที่ใช้คำดูดี แต่คลุมเครือ และไม่มีความหมายจริง เช่น “ต้องการคนที่พาองค์กรไปอีกระดับ” ระวัง! อย่ารีบกดสมัคร
  • การไม่ระบุเงินเดือนหรือช่วงรายได้ที่ชัดเจน ก็เป็นสัญญาณเตือนอีกอย่าง อาจสะท้อนถึงความไม่โปร่งใสขององค์กร รวมถึงคำอธิบายลักษณะงานกำกวม สะท้อนถึงบริษัทมีเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน
  • ระกาศรับสมัครงานไม่ได้เป็นแค่ใบโฆษณา แต่คือภาพสะท้อนวัฒนธรรมขององค์กร วิธีคิด ความโปร่งใส และทัศนคติของคนภายในที่อาจส่อการเป็นที่ทำงานเป็นพิษ

ใครที่กำลังหางานใหม่อยู่ในตอนนี้ แล้วพบว่าในประกาศรับสมัครงานหลายๆ บริษัทมักเขียนรายละเอียดไม่ชัดเจน บ้างก็ให้ข้อมูลคลุมเครือ ไม่อธิบายรายละเอียดตำแหน่งงานแบบตรงไปตรงมา มีแต่คำเชิญชวนที่ดูดีแต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วแปลว่าอะไรกันแน่? 

หากเจอใบประกาศลักษณะนี้มีคำเตือนว่า ก่อนจะกดสมัครงานเหล่านั้น ผู้สมัครงานจำเป็นต้องอ่านทวนใบประกาศให้ละเอียดอีกครั้ง เพราะบางประโยคที่ดูธรรมดา อาจซ่อน “สัญญาณเตือน” ของที่ทำงานเป็นพิษ หรือ Toxic workplace ไว้โดยที่คุณไม่รู้ตัว

ใบประกาศรับสมัครงาน คือ หน้าต่างบานแรกขององค์กร

หลายคนมักอ่านประกาศรับสมัครงานแบบผ่านๆ เหมือนเช็กรายการทั่วไป แต่ เบน แอสกินส์ (Ben Askins) ผู้ประกอบการสตาร์ตอัปหลายบริษัท, ผู้ร่วมก่อตั้ง Gaia (บริษัทด้านกรีนเทคโนโลยี) และผู้เขียนหนังสือ My Boss Is A Moron: Strategies to Manage Up and Thrive in Any Workplace เตือนว่า “ใบประกาศงาน” อาจบ่งบอกข้อมูลแฝงให้คุณได้มากกว่าที่คิด

“ถ้าองค์กรยังไม่ใส่ใจในการเขียนประกาศรับสมัครงานให้ดี มันมีแค่สองความเป็นไปได้ หนึ่งคือ พวกเขาไม่ใส่ใจในรายละเอียดของธุรกิจโดยรวม ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตราย หรือสองคือ พวกเขาไม่เข้าใจว่ากำลังหาคนแบบไหนจริงๆ ซึ่งยิ่งน่ากลัวกว่า เพราะคนเป็นพนักงานจะต้องเจอกับเป้าหมายที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา และยากจะประสบความสำเร็จในงานนั้น” แอสกินส์ อธิบาย

ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์สิ่งแวดล้อม Gaia ที่ลอนดอน และอดีตผู้ก่อตั้งเอเจนซีดิจิทัล Verb Brands ซึ่งขายให้กับ Croud ในปี 2022 แอสกินส์ได้เห็นเบื้องหลังการจ้างงานทั้งจากฝั่งนายจ้างและลูกจ้าง และพบว่า “สัญญาณอันตราย” มักเริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มสัมภาษณ์ด้วยซ้ำ ซึ่งเขารวบรวมคำเตือนมาให้ผู้สมัครงานได้รู้ตัวก่อน ดังนี้

ใช้ภาษาธุรกิจที่ฟังดูดี แต่ไม่มีความหมาย

หากผู้สมัคงานพบว่า ในประกาศงานของบริษัทที่คุณสนใจ มีการใช้ข้อความเชิญชวนในลักษณะที่ว่า “เราต้องการคนที่พาองค์กรไปอีกระดับ” หรือ “ถ้าคุณเป็นคนคิดนอกกรอบ งานนี้เหมาะกับคุณ”  ..ถ้าเห็นประโยคแบบนี้ในประกาศงาน อย่าเพิ่งดีใจ เพราะมันอาจเป็น “คำพูดลอยๆ” ที่ไม่มีเนื้อหาใดรองรับเลย

แอสกินส์บอกว่า ภาษาธุรกิจคลุมเครือเหล่านี้มักเป็น “คำโฆษณาที่ไม่มีความหมาย” และมันทำให้ผู้สมัครงง สงสัย เกิดการตั้งคำถาม มากกว่าจะรู้สึกตื่นเต้น

“ประโยคแบบนี้อาจฟังดูเท่ แต่ไม่มีใครตอบได้จริงๆ ว่าหมายถึงอะไรในทางปฏิบัติ และนั่นคือสัญญาณขององค์กรที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองหาอะไร” เขาเรียกข้อความเหล่านี้ว่าเป็น “bullshit business phrases” ซึ่งหมายถึง ประโยคที่ดูดีบนหน้าจอแต่ไม่มีสาระในโลกจริง

ใบประกาศงานที่ไม่ระบุเงินเดือน หรือไม่บอกช่วงรายได้ของตำแหน่งงานนั้น 

การไม่ระบุค่าจ้างให้ชัดเจนถือเป็นอีกสัญญาณเตือนสำคัญ เพราะสะท้อนว่าองค์กรอาจไม่โปร่งใส หรือพยายามเลี่ยงการรับผิดชอบต่อโครงสร้างค่าตอบแทนภายในบริษัท

ในหลายประเทศรวมถึงบางรัฐในสหรัฐฯ มีกฎหมายบังคับให้ระบุช่วงเงินเดือนไว้ในประกาศ เช่น นิวยอร์กซึ่งกำหนดให้ระบุ “ช่วงค่าจ้างที่เป็นไปได้จริง” เพื่อป้องกันความเหลื่อมล้ำทางเพศ แต่หลายองค์กรยังเลือกจะไม่เปิดเผย ซึ่งแอสกินส์มองว่า นี่ถือเป็นสัญญาณของ “วัฒนธรรมที่ไม่แฟร์ตั้งแต่ต้นน้ำ” เลยทีเดียว

คำอธิบายงานคลุมเครือ ไม่ชัดเจนว่าต้องทำอะไร

แอสกินส์เตือนว่า “ถ้าคุณอ่านประกาศแล้วไม่เข้าใจว่าหน้าที่ของตำแหน่งงานนั้นๆ คืออะไร ให้หยุดก่อน อย่ารีบสมัครงานนั้น” เพราะความไม่ชัดเจนตั้งแต่ต้นคือปัญหาที่จะตามหลอกหลอนคุณไปตลอดการทำงานที่บริษัทนั้น

“องค์กรที่ไม่เข้าใจบทบาทของตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัคร มักจะเปลี่ยนเป้าหมายงานไปเรื่อยๆ และนั่นทำให้คุณไม่มีวันรู้ว่า ทำงานนั้นได้ดีแค่ไหนหรือจะสำเร็จเมื่อไหร่”

เขาแนะนำว่า ถ้าอ่านแล้วมีคำถามมากกว่าคำตอบ เช่น “ใครคือหัวหน้าของตำแหน่งนี้?” หรือ “ผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไร?” ให้ถือว่านั่นคือสัญญาณเตือนอันตรายร้ายแรง ที่ควรหลีกหนีให้ไกล

ระบุสวัสดิการ เหมือนจะดีแต่ที่จริง “ต้องให้ตามกฎหมาย”

องค์กรที่โฆษณาเรื่อง “สิทธิพื้นฐาน” ว่าเป็นสวัสดิการสุดพิเศษ ในใบประกาศงาน เช่น “พนักงานจะได้พักกลางวันวันละ 30 นาที!” หรือ “มีวันหยุดประจำสัปดาห์แน่นอน!” เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่กฎหมายแรงงานในหลายประเทศ “บังคับให้ต้องมีอยู่แล้ว” เช่น ในนิวยอร์ก นายจ้างต้องให้พนักงานพักอย่างน้อย 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และพักทานอาหารอย่างน้อย 30 นาทีหากทำงานเกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน

“คุณไม่ได้ให้ของขวัญกับพนักงานหรอก กฎหมายบังคับให้คุณต้องให้ต่างหาก”
แอสกินส์ ชี้ชัด

การหยิบเรื่องพื้นฐานมาขายเป็น “สิทธิพิเศษ” สะท้อนว่าองค์กรนั้นอาจไม่ให้คุณค่ากับการดูแลพนักงานจริงๆ ดังนั้น แอสกินส์แนะนำว่า ผู้สมัครงานควรใจเย็นๆ และอย่าส่งใบสมัครแบบหว่านแห ทางเลือกด้านการงานมีอยู่เสมอ ขึ้นอยู่ที่ตัวคุณเองในการตั้งใจหางานดีๆ ให้เจอให้ได้

ส่งใบสมัครมาก ไม่เท่ากับ ได้งานเร็ว แต่เป็นการเสียเวลา

ขณะที่ เจน เดอลอเรนโซ (Jen DeLorenzo) โค้ชอาชีพและผู้ก่อตั้งธุรกิจที่ปรึกษา The Career Raven เตือนว่า หลายคนคิดว่าการส่งใบสมัครจำนวนมากจะเพิ่มโอกาสได้งาน แต่ความจริงแล้ว กลับเป็นการเสียเวลาและเสียพลังงานโดยไม่จำเป็น

“มันเหมือนการยิงสเปรย์แล้วภาวนาเอา ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีเลย” เธอบอก และยังแนะนำให้ผู้สมัครโฟกัสเฉพาะตำแหน่งที่รู้สึกอยากทำจริงๆ แล้วตั้งใจขีด “เส้นแบ่งชัดเจน” ระหว่างสิ่งที่ยอมได้กับยอมไม่ได้ เช่น
- เงินเดือนขั้นต่ำที่ต้องการ
- ความยืดหยุ่นในการทำงานแบบรีโมต
- โปรแกรมพัฒนาอาชีพหรือโอกาสเติบโตในองค์กร

แล้วจากนั้นจึงพิจารณาว่าแต่ละประกาศตรงกับสิ่งเหล่านี้หรือไม่ คีย์สำคัญ คือ ผู้สมัครงานต้องอ่านประกาศให้ขาด ทำความเข้าใจจริงๆ ก่อนตัดสินใจกดสมัคร

แอสกินส์สรุปไว้อย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลังว่า “ช่วงเวลาที่คุณยังอ่านประกาศอยู่นั่นแหละ คือจุดที่คุณมีอำนาจตัดสินใจมากที่สุด เพราะคุณยังเลือกได้ว่าจะเข้าร่วมองค์กรนั้นหรือไม่ และเชื่อเถอะว่ามันยากกว่ามาก ที่จะถอนตัวหลังจากเข้าไปแล้ว”

สรุปง่ายๆ ก็คือ ประกาศรับสมัครงานไม่ได้เป็นแค่ใบโฆษณา แต่มันคือภาพสะท้อนวัฒนธรรมขององค์กร ภาษาที่ใช้บอกถึงวิธีคิด ความโปร่งใส และทัศนคติของคนภายใน บริษัทที่เริ่มต้นด้วยความกำกวม ย่อมมีแนวโน้มจะสื่อสารอย่างไม่ชัดเจนในทุกเรื่อง อย่าลืมว่า คุณไม่ได้แค่สมัครงาน แต่กำลังเลือกสภาพแวดล้อมที่ต้องอยู่กับมันทุกวัน!

 

อ้างอิง: CNBCMyBossIs A Moron