เก่งแค่ไหนก็พังได้ ซีอีโอระวัง 5 กับดักเงียบ บ่อนทำลายความสำเร็จ

เก่งแค่ไหนก็พังได้ ซีอีโอระวัง 5 กับดักเงียบ บ่อนทำลายความสำเร็จ

ซีอีโออาจไม่ล้มเหลวเพราะบริหารพลาด แต่เพราะร่างกายจิตใจ “พังไม่รู้ตัว” เมื่อความเหนื่อยล้าเป็นเรื่องปกติ การพักเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย เช็ก 5 กับดักทำลายผู้นำระดับสูง

KEY

POINTS

  • ผู้เชี่ยวชาญเตือนซีอีโอ ระวัง 5 กับดักเงียบ ที่ไม่ได้ทำลายองค์กรโดยตรง แต่บ่อนทำลาย "สุขภาวะ" ของผู้นำจากภายใน ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน
  • กับดักเหล่านั้น เช่น การยึดติดกับภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ, การพยายามเอาใจทุกคนจนไม่มีขอบเขตส่วนตัว, และการมุ่งหาความสมบูรณ์แบบจนไม่เกิดความก้าวหน้า
  • นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากการติดอยู่ในความสบาย (Comfort Zone) จนหยุดพัฒนา และการพึ่งพาตนเองมากเกินไปจนเกิดความโดดเดี่ยวและภาวะหมดไฟ
  • สุขภาวะของผู้นำไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และความยั่งยืนขององค์กรในระยะยาว

งานในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง หรือผู้ที่เป็นซีอีโอขององค์กรชื่อดัง หากมองจากสายตาของพนักงานระดับทั่วไป หลายคนคงมองพวกเขาว่าเป็นผู้นำองค์กรระดับโลกที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง ความคิดเฉียบคม ไอเดียเฉียบแหลม และคงทำงานเก่งกว่าคนทั่วไป แต่รู้หรือไม่? เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้น กลับเต็มไปด้วยแรงกดดันและกับดักที่ค่อยๆ กัดกร่อนสุขภาวะของตนเองโดยไม่รู้ตัว

“ความล้า ความโดดเดี่ยว และความพยายามจะสมบูรณ์แบบตลอดเวลา” คือราคาที่ซีอีโอจำนวนมากกำลังจ่ายอยู่ทุกวัน

เมื่อ “สุขภาวะของซีอีโอ” กลายเป็นกลไกที่องค์กรมองข้าม

ในหนังสือแนวภาวะผู้นำคลาสสิก The Five Temptations of a CEO ที่เขียนโดย แพทริก เลนซิโอนี (Patrick Lencioni) เคยอธิบายถึง “กับดักทางพฤติกรรม” ของเหล่าบรรดาซีอีโอ ที่ทำให้พวกเขาล้มเหลวในการบริหารองค์กร แต่ในยุคปัจจุบัน กลับมีอีก 5 กับดักใหม่ที่อันตรายไม่แพ้กัน ที่สำคัญ.. มันไม่ได้ทำลายองค์กรโดยตรง แต่ทำลาย “สุขภาวะของผู้นำ” จากภายในจนส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน

สุขภาวะของซีอีโอไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่คือโครงสร้างพื้นฐานของ “การคิดเชิงกลยุทธ์ การตัดสินใจที่แม่นยำ และการคงอยู่ของพลังภาวะผู้นำ” และเมื่อสุขภาวะนั้นเริ่มสั่นคลอน ผู้นำก็ย่อมเริ่มเสียสมดุลทั้งทางกาย ใจ และวิสัยทัศน์ 

จูเลียน เฮย์สที่ 2 (Julian Hayes II) ผู้ก่อตั้ง Executive Health บริษัทที่ปรึกษาเฉพาะทางที่ช่วยให้ผู้นำระดับสูงปรับปรุงสุขภาพให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน ได้แกะสูตรลับจากหนังสือเล่มข้างต้น แล้วเอามาสรุปเป็นข้อควรระวังเกี่ยวกับ 5 กับดักเงียบ ตัวการบ่อนทำลายสุขภาพกายใจของผู้นำ ไว้ดังนี้

ความอยากมีภาพลักษณ์ “ดูดี” มากกว่าการเป็น “ตัวจริง” 

ซีอีโอจำนวนมากถูกคาดหวังให้ “สมบูรณ์แบบตลอดเวลา” เช่น ต้องดูมั่นใจ สุขุม และไม่อ่อนแอแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งต่อหน้าพนักงาน นักลงทุน สื่อ หรือบอร์ดบริหาร ความกดดันนี้ทำให้หลายคนสร้าง “ภาพลักษณ์ที่ควบคุมได้” ขึ้นมาเป็นเกราะป้องกันตนเอง

แต่เมื่อภาพลักษณ์นั้นถูกสวมนานเกินไป มันก็กลายเป็น “หน้ากาก” ที่หลอมรวมกับตัวตนจริง ความเหนื่อยล้าถูกนิยามใหม่เรียกว่า “ความมุ่งมั่น” ความหมดแรง ถูกแปลว่า “วินัย” และเวลาพักผ่อนกลับถูกมองเป็น “ของฟุ่มเฟือย” ไปเสียอย่างนั้น

เลนซิโอนี ผู้เขียนหนังสือ The Five Temptations of a CEO เตือนว่า ยิ่งช่องว่างระหว่าง “สิ่งที่รู้สึกจริง” กับ “สิ่งที่แสดงออก” ห่างออกจากันมากเท่าไร ผู้นำก็จะยิ่งหลงลืมความเป็นตัวตนของตัวเองมากเท่านั้น เขาย้ำในหนังสือว่า

ความจริงใจในฐานะผู้นำ ไม่ใช่การเปิดเผยความอ่อนแอต่อสาธารณะ แต่คือความซื่อสัตย์ต่อตัวเองในที่ส่วนตัว

การเอาใจคนอื่นตลอดเวลา จนลืมตั้งขอบเขตส่วนตัว

บทบาทของซีอีโอคือการตอบโจทย์ให้ทุกฝ่ายพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ผู้ถือหุ้น หรือทีมงาน แต่เมื่อ “การรับผิดชอบ” กลายเป็น “การพยายามเอาใจทุกคน” มันจะเริ่มกัดกร่อนพลังงานและเวลาโดยไม่รู้ตัว

หลายคนตกอยู่ในภาวะ “พร้อมตลอดเวลา” จนปฏิทินเต็มแน่นทุกวัน ไม่มีช่องว่างให้คิดเชิงกลยุทธ์หรือพักหายใจ เหมือนทำงานหนักขึ้น แต่บางครั้งกลับรู้สึกว่าผลลัพธ์ที่ได้น้อยลงกว่าที่ต้องการเรื่อยๆ

สิ่งที่ดูเหมือน “ความทุ่มเท” แท้จริงแล้วคือ “ความหมดแรงในรูปแบบใหม่” การตั้งขอบเขตจึงไม่ใช่การผลักคนอื่นออกไป แต่คือการปกป้องศักยภาพของตัวเองให้คงอยู่ได้ในระยะยาว “เวลาสำหรับการพัก คิด เดิน หรืออยู่เงียบ ๆ ไม่ใช่ความฟุ่มเฟือย แต่มันคือพื้นที่จำเป็นที่ทำให้ผู้นำสามารถกลับมาได้อย่างเต็มพลัง

การยึดมั่นใน “ความสมบูรณ์แบบ” มากกว่าความก้าวหน้า

ผู้นำระดับสูงมักจะไม่ขาดวินัย แต่สิ่งที่พวกเขามักพลาด คือ “ความลังเลจากการคิดมากเกินไป” โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพหรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมชีวิต ยกตัวอย่างเช่น ซีอีโอที่อยากลดน้ำหนักหรืออยากกลับมาฟิตอีกครั้ง แต่แทนที่จะเริ่มจากการออกกำลังวันละ 15 นาที เขากลับใช้เวลาหลายสัปดาห์ศึกษาวิธีที่ “ดีที่สุด” จนสุดท้ายไม่ได้เริ่มสักที

การแสวงหาความสมบูรณ์แบบ กลายเป็นข้ออ้างที่ขัดขวางความเปลี่ยนแปลง และในขณะที่ธุรกิจสามารถวัดผลได้ทุกไตรมาส สุขภาพกลับไม่ทำเช่นนั้น มันเสื่อมลงช้าๆ แล้วพังในทันที

การเปลี่ยนแปลงไม่ต้องรอความชัดเจน เพราะความชัดเจนมักเกิดขึ้นหลังจากที่เราเริ่มลงมือทำแล้วต่างหาก

ความสบายที่กลายเป็นหลุมพรางของการเติบโต

เมื่อองค์กรเติบโต ทีมมั่นคง และชื่อเสียงเริ่มสถาปนาได้ ผู้นำจำนวนมากเผลอเข้าสู่โหมด “รักษาสถานะ” แทนที่จะมองหาช่องเพื่อที่จะลงมือ “พัฒนา” ทั้งงานและร่างกายจิตใจของตนเองต่อไปอีกขั้น 

ความสบายหรือคอมฟอร์ทโซนนี้ ไม่ได้เกิดจากความเกียจคร้าน แต่จาก “แรงเฉื่อย” ที่ค่อย ๆ ทำให้ความกระตือรือร้นหายไป ขณะที่สิ่งที่เคยเป็นแรงผลัก เช่น การสะท้อนตนเอง ความรับผิดชอบ หรือการเผชิญความไม่สบายใจ กลับถูกแทนที่ด้วยกิจวัตรที่คุ้นชิน

เมื่อเวลาผ่านไป ความเหนื่อยล้าและสมาธิที่ลดลงกลายเป็นเรื่องปกติ จนผู้นำไม่รู้ตัวว่ากำลังทำงานที่ศักยภาพเพียงครึ่งเดียว อย่าลืมว่า “สุขภาพไม่ส่งสัญญาณเตือนเหมือนตัวเลขในงบการเงิน แต่ความเสื่อมของมันเกิดขึ้นจริงทุกวัน

ผู้นำที่ยิ่งใหญ่จึงไม่ควรหยุดพัฒนา ทั้งในงานและในสุขภาพของตนเอง แม้ในวันที่ทุกอย่างดูมั่นคง พวกเขายังคงมี “ความระแวดระวังอย่างสร้างสรรค์” (healthy paranoia) เพื่อให้แน่ใจว่ายังเติบโตทั้งองค์กรและตัวเอง

การพึ่งพาตัวเองมากเกินไปจนขาดการเชื่อมโยง

ความเป็นอิสระเป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้นำ แต่เมื่อมันมากเกินไป มันก็กลายเป็นกำแพงที่กั้นไม่ให้ใครเข้ามาช่วยเหลือได้อีก โดยซีอีโอจำนวนมาก มักจะภูมิใจในความสามารถที่จะ “รับมือทุกอย่างได้เอง” พวกเขามักเงียบกับปัญหาส่วนตัว ไม่ขอความช่วยเหลือ และไม่แสดงออกว่ากำลังเหนื่อยล้า

แต่สิ่งที่เริ่มต้นจาก “ความเข้มแข็ง” ก็ค่อยๆ กลายเป็น “ความโดดเดี่ยว” ที่บั่นทอนทั้งสุขภาพจิตและความสัมพันธ์ ผลลัพธ์คือ ภาวะหมดแรงทางอารมณ์ (emotional fatigue) การตัดสินใจแย่ลง และความสัมพันธ์กับทีมและครอบครัวเริ่มห่างเหิน

ความสำเร็จไม่ใช่กีฬาประเภทเดี่ยว และผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ทำงานในสุญญากาศ พวกเขาสร้างระบบรอบตัวเพื่อค้ำจุนทั้งทีมและตัวเอง

ทำไมสุขภาวะของซีอีโอถึงกลายเป็น “กลยุทธ์องค์กร”

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผู้นำไม่ใช่ความล้มเหลวครั้งใหญ่ แต่คือ “การค่อยๆ เสื่อมถอยอย่างเงียบๆ” เมื่อความเหนื่อยล้า ความสับสน และการขาดสมดุล มักถูกมองข้ามเพราะดูเหมือนไม่เร่งด่วน แต่แท้จริงแล้วคือสิ่งที่กัดกร่อนวิสัยทัศน์ขององค์กรจากภายใน

ผู้นำที่ดูแลสุขภาวะของตัวเอง เช่น ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและยังฟิตอยู่เสมอ จะไม่ได้แค่ป้องกันความเหนื่อยล้า แต่ยังเป็นการ “รับประกันประสิทธิภาพของการตัดสินใจในอนาคต” เพราะในโลกที่การแข่งขันรุนแรง และพื้นที่ที่มีให้แก่ความผิดพลาด มักหดเล็กลงเรื่อยๆ ผู้นำที่รู้จักรักษาพลังของตัวเองก่อนสิ่งอื่น จะเป็นคนที่ยืนหยัดมั่นคงได้ทุกระยะ

ดังนั้น จงจำไว้ว่า “สุขภาวะของซีอีโอไม่ใช่เรื่องหรูหรา แต่คือเงื่อนไขพื้นฐานของความยั่งยืนในภาวะผู้นำ”

เมื่อสุดท้ายแล้ว ในยุคที่เทคโนโลยีและตลาดเปลี่ยนเร็วเกินคาด ความแข็งแกร่งขององค์กร ไม่ได้เริ่มจากงบดุลหรือกลยุทธ์ใด ๆ แต่มาจาก “สุขภาวะของคนที่บริหาหารงานอยู่ข้างบน” ที่ยังคงเป็นมนุษย์ และกล้าที่จะดูแลหัวใจของตัวเองก่อนใคร

 

 

อ้างอิง: Forbes