LinkedIn Anxiety เครียดจากฟีดอวดอาชีพออนไลน์ รู้สึกเราไม่เก่งพอ

แค่เลื่อนฟีดดู ก็รู้สึก “ไม่เก่งพอ” เห็นคนอื่นได้เลื่อนขั้น ได้งานใหม่ดีๆ แล้วยิ่งเครียด หัวใจเต้นแรง สะท้อนภาวะ LinkedIn Anxiety กำลังเกิดกับวัยทำงานรุ่นใหม่ทั่วโลก
KEY
POINTS
- LinkedIn Anxiety คือความเครียดและความวิตกกังวลจากการเปรียบเทียบความสำเร็จในอาชีพของตนเองกับผู้อื่นบนฟีด LinkedIn จนทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ
- สาเหตุเกิดจากแพลตฟอร์มที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความสำเร็จของผู้อื่น เช่น การเลื่อนตำแหน่ง หรือการได้งานใหม่ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการตั้งมาตรฐานความสำเร็จที่สูงและรู้สึกด้อยค่าเมื่อไปไม่ถึงจุดนั้น
- อาการนี้ส่งผลกระทบต่อคนทำงานรุ่นใหม่เป็นพิเศษ โดยเชื่อมโยงกับภาวะ Imposter Syndrome และสร้างแรงกดดันให้ต้องดูดีในโลกออนไลน์ตลอดเวลา
- คำแนะนำในการรับมือคือ การใช้งานอย่างมีสติ เช่น เลือกติดตามสิ่งที่สนใจจริง ๆ, สร้างตัวตนด้วยการแบ่งปันความรู้แทนการอวด, และเลิกติดตามบัญชีที่ทำให้รู้สึกเครียด
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ LinkedIn กลายเป็นพื้นที่ที่คนทำงานยุคใหม่ “จำเป็นต้องมี” ในการสร้างเครือข่ายด้านอาชีพการงาน แต่ขณะเดียวกัน มันกลับเป็นแหล่งสร้างความเครียดให้วัยทำงานแบบไม่รู้ตัว หลายคนยอมรับว่าแค่เปิดดูฟีดก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเอง “ไม่เก่งพอ” หรือ “ชีวิตตัวเองยังไปไม่ถึงไหน” นักจิตวิทยาชี้ว่า นี่คือสัญญาณของ “LinkedIn Anxiety” ซึ่งหมายถึง ความวิตกกังวลที่เกิดจากการเปรียบเทียบตัวเองกับอาชีพหรือความสำเร็จของคนอื่นในโลกออนไลน์
LinkedIn เครื่องมือสร้างอาชีพที่กลายเป็นสนามเปรียบเทียบ
ในอดีต การสร้างเครือข่ายทางอาชีพ (networking) อาจเกิดขึ้นเฉพาะในงานสัมมนาหรือกิจกรรมของบริษัท แต่วันนี้ “โปรไฟล์ออนไลน์” กลายเป็นเหมือนบัตรประชาชนทางอาชีพ ที่ทุกคนสามารถเข้ามาดูผ่านโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลา
บนแพลตฟอร์ม LinkedIn ที่มีผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก คุณสามารถหางาน เชื่อมต่อกับผู้บริหารระดับสูง หรือเรียนรู้แนวคิดใหม่ๆ จากบทความและวิดีโอ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็กลายเป็น “กับดักทางจิตใจ” เพราะทุกอย่างบนหน้าฟีดเต็มไปด้วย “เรื่องราวความสำเร็จ” ของคนอื่น
เสียงสะท้อนบนผู้ใช้งานเว็บบอร์ด Reddit บอกเล่าถึงความรู้สึกเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างบางคอมเมนต์ ระบุข้อความว่า
“ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกจากอก แค่เปิดแอปก็เริ่มเครียดแล้ว”
ขณะที่อีกหนึ่งข้อความชี้ว่า
“ฉันคิดมากจนทำงานไม่ได้ ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะสงบลง แล้วสุดท้ายก็กลับไปดูอีก แล้วก็กลับมาเครียดอีก”
ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการทำพรีเซนเทชันใหญ่ หรือถูกเจ้านายตำหนิ แต่เป็นเพียงผลจากการ “เลื่อนหน้าจอดูโพสต์ด้านอาชีพหรือตำแหน่งงานของคนอื่น”
“ฉันห่วย” คำที่วัยทำงานมักพูดกับตัวเอง หลังไถฟีด LinkedIn
ศาสตราจารย์เฮเทอร์ ไคลเดอร์-ออฟฟัต (Heather Kleider-Offutt) จากมหาวิทยาลัยจอร์เจียสเตต (Georgia State University) อธิบายว่า LinkedIn กระตุ้นวงจรการเปรียบเทียบในสมองได้รุนแรงมาก
“คุณเห็นคนอื่นได้เลื่อนตำแหน่ง ได้รางวัล หรือได้พูดในเวทีระดับโลกและมีชื่อเสียง แล้วคุณก็เผลอคิดทันทีว่า ‘โอเค นี่แหละมาตรฐานความสำเร็จของฉัน’ และเมื่อคุณไม่ถึงจุดนั้น คุณก็รู้สึกว่า ‘ฉันไม่เก่งพอ ฉันห่วย’ ” ไคลเดอร์-ออฟฟัต บอก
อาการนี้เชื่อมโยงกับ ภาวะทางสุขภาพจิตที่เรียกว่า Imposter Syndrome หรือ “กลุ่มอาการไม่รู้สึกว่าตัวเองเก่งจริง” ที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากกำลังประสบในโลกทำงานยุคนี้
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพ ความรู้สึกนี้ยิ่งชัดเจน เพราะ LinkedIn มักเต็มไปด้วยคนที่พูดถึง “โปรเจกต์ใหญ่” หรือ “การได้งานใหม่ในบริษัทชื่อดัง” จนทำให้ผู้ใช้หน้าใหม่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่เก่ง และล้าหลังคนอื่นอยู่เสมอ
“มันเหมือนการแข่งกันอวดเก่งด้านอาชีพแบบดิจิทัล” หลายคนยอมรับว่าไม่ได้อยากเล่น แต่ต้องเล่น เพราะถ้าไม่มีโปรไฟล์ LinkedIn ก็เหมือน “ไม่มีตัวตนในสายอาชีพ”
LinkedIn Anxiety ทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนรุ่นใหม่
อาจารย์ด้านธุรกิจจากสหรัฐฯ ที่ทำงานใกล้ชิดกับนักศึกษาหางาน อธิบายประเด็นนี้ว่า “LinkedIn ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนสนามแข่งที่เปิด 24 ชั่วโมง” เพราะต่างจากสมัยก่อนที่การสร้างคอนเนกชัน มักจะเกิดขึ้นเฉพาะในอีเวนต์หรือการพบเจอกันจริงๆ แต่ปัจจุบันโปรไฟล์ของเราถูกเปิดเผยต่อสายตาทั่วโลกตลอดเวลา ทั้งเห็นได้ ค้นหาได้ และถูกตัดสินได้
ผลคือ คนทำงานรุ่นใหม่ต้องแบกรับแรงกดดันจากการ “ต้องดูดีตลอดเวลา” ทั้งในโลกจริงและออนไลน์ คำถามต่อมาคือ..แล้วแบบนี้จะใช้ชีวิตการงานอยู่กับ LinkedIn อย่างมีสุขภาพจิตที่ดีได้อย่างไร
คำตอบไม่ใช่การหนีออกจากแพลตฟอร์มนี้ แต่คือการ “ค่อยๆ ฝึกใช้มัน แบบมีสติ” เหมือนโปรแกรมออกกำลังกาย Couch to 10K ที่เริ่มจากการวิ่งทีละน้อยจนไปถึงเป้าหมาย
เปิด 4 วิธีปรับคิดมุมใหม่ ทำงานให้มั่นใจและสร้างคุณค่าได้ในทุกวัน
แอนดี โมลินสกี (Andy Molinsky) ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมองค์กร วิทยากร อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแบรนไดส์ และผู้เขียนหนังสือสี่เล่ม (รวมถึง Global Dexterity ที่ได้รับรางวัล) ได้ให้คำแนะนำแก่วัยทำงาน ที่อาจกำลังเผชิญกับอาการ LinkedIn Anxiety และอยากเลิกเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น โดยแนะให้ลองทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. เริ่มจากสิ่งที่คุณสนใจจริงๆ
อย่าเริ่มจากสิ่งที่คนอื่นบอกว่า “ควรสนใจ” แต่ให้เริ่มจากสิ่งที่ “เราอยากรู้จริงๆ” ถ้าคุณชอบเรื่องเทคโนโลยี ลองติดตามผู้เชี่ยวชาญในสายนี้ หรือเข้าร่วมกลุ่มที่พูดเรื่องที่คุณสนุกกับมันจริงๆ เพราะเมื่อคุณมีแรงจูงใจในเนื้อหา มันจะลดความรู้สึกเปรียบเทียบลง
จากนั้น ค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้เสพ” ไปสู่ “ผู้มีส่วนร่วม” เช่น กดไลก์โพสต์ แชร์บทความ หรือคอมเมนต์ด้วยความคิดเห็นของตัวเอง
2. ค้นหา “เสียงของตัวเอง” บนแพลตฟอร์ม
เมื่อเริ่มรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ให้ลองโพสต์เรื่องราวของตัวเองบ้าง โดยไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องใหญ่ แค่แชร์สิ่งเล็กๆ ที่เรียนรู้จากการทำงาน เช่น บทเรียนจากการทำโปรเจกต์แรก หรือความผิดพลาดที่ทำให้เติบโต ทั้งนี้ “สิ่งสำคัญคือ ความสม่ำเสมอ มากกว่าความสมบูรณ์แบบ”
ลองตั้งเป้าหมายง่ายๆ เช่น อ่าน 3 โพสต์ต่อวัน หรือคอมเมนต์ 1 บทความต่อสัปดาห์ เพื่อฝึกให้สมองคุ้นชินกับการแสดงตัวตนแบบมืออาชีพโดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร
นอกจากนี้ อย่าปล่อยให้ฟีดควบคุมอารมณ์คุณ หากพบว่ามีบางบัญชีทำให้รู้สึกเครียด ให้ “unfollow” บัญชีนั้นไปเลย จากนั้นพยายามหาอ่านเฉพาะโพสต์ด้านอาชีพที่มีคุณค่าจริงๆ เพื่อเป็นการปรับอัลกอริทึมให้แสดงเฉพาะโพสต์ที่ให้คุณค่าที่เหมาะกับเรา รวมไปถึงคุณควรติดตามบัญชีที่ให้ความรู้ หรือให้แรงบันดาลใจ มากกว่าบัญชีโชว์ชีวิตหรู
3. สร้างคอนเทนต์โดยไม่ต้องขายตัวเอง
การโพสต์ไม่ได้หมายถึงการอวด แต่คือการ “แบ่งปัน” บางคนอาจเลือกแชร์เรื่องราวของคนอื่น หรือคัดสรรบทความดีๆ มาสรุปให้เพื่อนร่วมอาชีพอ่าน วิธีนี้ช่วยให้คุณ “เพิ่มคุณค่า” โดยไม่ต้องพูดถึงตัวเองมากเกินไป
โมลินสกี เน้นย้ำว่า “คุณสามารถเฉลิมฉลองให้คนอื่นได้ โดยไม่ต้องรู้สึกอึดอัดว่ากำลังยกย่องตัวเอง” ทั้งนี้ หากอยากเขียนโพสต์ต้นฉบับ ลองดูรูปแบบของคนที่คุณชอบ เช่น โทนการเล่าเรื่อง วิธีเปิดประโยค หรือรูปแบบการใช้ภาพ แล้วปรับให้เข้ากับสไตล์ของตัวเอง
4. อย่าเล่น LinkedIn คนเดียว
ถ้าการเข้าสังคมในชีวิตจริงยังต้องมีเพื่อนไปด้วย การสร้างเครือข่ายออนไลน์ก็เช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้วัยทำงานลองชวนเพื่อนร่วมงานหรือคนที่ไว้ใจให้ช่วย “ซัพพอร์ต” โพสต์ของคุณ เช่น กดไลก์หรือคอมเมนต์ เพื่อสร้างแรงหนุนทางจิตใจ
“เสียงตอบรับเชิงบวกเล็กๆ สามารถสร้างความมั่นใจ และยังช่วยให้ระบบของ LinkedIn มองว่าโพสต์ของคุณมีคุณค่า ส่งต่อให้คนอื่นเห็นมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ให้จำไว้ว่าคุณเป็นเจ้าของบัญชี LinkedIn ดังนั้นคุณต้องเป็นคนควบคุมมัน แทนที่จะถูกมันควบคุม เพราะตัวแพลตฟอร์มเองไม่ได้เป็นศัตรูกับผู้ใช้งาน แต่เป็นกระจกสะท้อนความคาดหวังในยุคที่เราต้อง “โปรโมตตัวเอง” ตลอดเวลา การเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างมีขอบเขตจึงสำคัญ
เพราะท้ายที่สุด “ตัวตนบน LinkedIn” ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับคนที่โพสต์ทุกวัน หรือมีผู้ติดตามหลักหมื่น สิ่งที่สำคัญคือ การให้โปรไฟล์ของคุณสะท้อนสิ่งที่คุณเป็นจริง ๆ และคุณค่าที่คุณอยากให้โลกเห็น ดังนั้น ต้องเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แต่ควรหันมามุ่งพัฒนาอาชีพอย่างมั่นคงในแบบของเราเองน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
อ้างอิง: Forbes, Reuters, Counselorblog, Sciencedirect, cas.gsu.edu







