Purpose-Driven Leadership คำตอบของยุค Polycrisis | Leading For Future

ผู้นำภาคธุรกิจและองค์กรกำลังเผชิญกับ “Polycrisis” หรือวิกฤติซ้อนวิกฤติที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก แต่ Purpose-Driven Leadership คำตอบ
นอกเหนือจากบทบาทการเป็นที่ปรึกษาด้านพัฒนาภาวะผู้นำ ดิฉันยังสวมหมวกเป็นกรรมการมูลนิธิรักษ์ไทย ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสานต่อภารกิจของ CARE International ในการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนและผู้ด้อยโอกาสให้สามารถช่วยเหลือตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยเน้นงานด้านสุขภาพ การศึกษา การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการช่วยเหลือภัยพิบัติในพื้นที่เปราะบางทั่วประเทศ
ตลอด 20 ปีที่ได้ทำงานร่วมกับมูลนิธิรักษ์ไทยทำให้มีโอกาสได้เห็นและเรียนรู้สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง พวกเขาต้องลงพื้นที่เพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาและความท้าทายไม่เว้นแต่และวัน เช่น ฝุ่น PM 2.5 ที่ทับซ้อนกับภัยแล้ง พ่วงด้วยแผ่นดินไหวและน้ำท่วมในพื้นที่เดียวกัน บางท่านแม้ตนเองก็ได้รับผลกระทบ แต่ยังคงสวมหมวกเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ภาพความทุ่มเทของคนทำงานในพื้นที่เหล่านั้น ทำให้ดิฉันอดคิดถึงผู้นำภาคธุรกิจและองค์กรไม่ได้เลย เพราะไม่ว่าท่านจะอยู่บนตึกสูงใจกลางกรุงเทพฯ หรือในโรงงานอุตสาหกรรม เราทุกคนกำลังเผชิญกับ “Polycrisis” หรือวิกฤติซ้อนวิกฤติที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่ฉุดรั้งกำลังซื้อ การเข้ามาของ AI ที่กระทบต่อการจ้างงาน ไปจนถึงวาระด้าน ESG ที่เป็นแรงกดดันใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้คือภัยพิบัติทางธุรกิจที่ซับซ้อนไม่แพ้กัน
1. ดับไฟรายวันจนลืมวาระแห่งความยั่งยืนคือหลุมพลางของผู้นำ
เมื่อองค์กรต้องเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ ปัญหาซัพพลายเชน หรือการปรับโครงสร้างองค์กรอย่างเร่งด่วน พลังงานทั้งหมดของผู้นำและทีมงานมักจะถูกใช้ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อรักษาตัวเลขและพยุงสถานการณ์ให้ผ่านพ้นไปได้ปีต่อปี ทำให้วาระสำคัญอย่างความยั่งยืนหรือนวัตกรรม ถูกผลักให้เป็นเรื่องรอง
ดิฉันเข้าใจดีว่าแรงกดดันเหล่านั้นหนักหน่วงเพียงใด การต้องตอบคำถามเร่งด่วนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวันนี้ อาจทำให้เราไม่มีเวลาเงยหน้ามองเส้นทางที่จะพาองค์กรไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า
2. Passion นั้นดี แต่ Purpose นั้นคือเชื้อเพลิงยามยาก
เราทุกคนล้วนเริ่มต้นธุรกิจหรือการทำงานด้วย Passion ความหลงใหลในสิ่งที่เราทำ แต่ในภาวะวิกฤติที่ยาวนานและซับซ้อนเช่นนี้ ความหลงใหลอาจจะถูกบั่นทอนและมอดดับไปได้ ผู้นำที่ต้องการนำพาองค์กรผ่านพ้น Polycrisis ไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง จึงต้องยกระดับการนำจาก Passion-Driven ไปสู่ Purpose-Driven Leadership
Purpose ไม่ใช่แค่ Mission Statement ที่สวยหรู หรือแค่การทำกำไร (Profit) แต่มันคือเหตุผลในการดำรงอยู่ขององค์กรที่เชื่อมโยงคุณค่า (Value) เข้ากับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและโลกอย่างแท้จริง Purpose เป็นพลังที่ยาวนานกว่าแค่ความรู้สึกและเป็นรากฐานที่มั่นคงกว่าผลประกอบการรายไตรมาส
3. ฝ่าวิกฤติซ้อนวิกฤติ (Polycrisis) ด้วยพลังผู้นำที่ขับเคลื่อนด้วย Purpose เพราะ
พลังงานสำรองที่ไม่มีวันหมด: เมื่อทีมงานเผชิญกับความล้มเหลวหรือความท้อแท้ การนึกถึง "Why" หรือเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่องค์กรตั้งใจจะสร้างการเปลี่ยนแปลง จะเป็นแหล่งพลังงานทางจิตใจที่ช่วยให้ทุกคนลุกขึ้นสู้ต่อได้ ต่างจากการทำเพื่อกำไรเพียงอย่างเดียวที่อาจทำให้เกิดความรู้สึกสูญเปล่าเมื่อวิกฤติหนักหน่วง เข็มทิศยามสับสน: ในยุคที่เต็มไปด้วย Noise และข้อมูลท่วมท้น Purpose จะทำหน้าที่เป็นตัวกรองการตัดสินใจ ที่ทรงประสิทธิภาพ ทำให้ผู้นำสามารถจัดลำดับความสำคัญของกลยุทธ์ได้อย่างชัดเจน ว่าการลงทุนหรือการดำเนินการใดที่สอดคล้องกับภารกิจระยะยาวขององค์กรอย่างแท้จริง แม้จะเป็นการลงทุนในเรื่อง ESG ที่อาจไม่เห็นผลตอบแทนทางการเงินในทันที เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับความหมาย: พนักงานยุคใหม่ (โดยเฉพาะ Gen Z) ไม่ได้ต้องการเพียงแค่เงินเดือน แต่ต้องการรู้สึกว่างานที่ทำนั้น มีความหมาย ผู้นำที่สื่อสารและขับเคลื่อนองค์กรด้วย Purpose ที่ชัดเจน จะสามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรคุณภาพไว้ได้ เพราะเป็นการมอบพลังงานชีวิตให้กับทีมงานทุกเจนให้เห็นว่าความสามารถของพวกเขาช่วยโลกให้ดีขึ้น
ในฐานะผู้นำองค์กร ท่านอาจต้องรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติเทคโนโลยี หรือวิกฤติสิ่งแวดล้อม แต่ทั้งหมดนี้คือบททดสอบที่สำคัญที่สุดว่าแก่นแท้ของความเป็นผู้นำและการดำเนินธุรกิจของคุณคืออะไร
อย่าปล่อยให้การ “ดับไฟรายวัน” ทำให้ท่านละเลยวาระแห่งการสร้างความยั่งยืนที่ Purpose กำหนดไว้ จงใช้ Purpose เป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่กว่า Passion เป็นพลังงานที่ยั่งยืนกว่าผลกำไร เพื่อนำพาองค์กรและประเทศของเราก้าวข้าม Polycrisis นี้ และสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับคนรุ่นต่อไปอย่างแท้จริง







