มุมมองใหม่การบริหารคน เลือก Gen ที่ใช่สำหรับงานที่เหมาะ

มุมมองใหม่การบริหารคน  เลือก Gen ที่ใช่สำหรับงานที่เหมาะ

ผลการวิจัยจาก Big Data ครั้งนี้ ทำให้มีมุมมองใหม่ในการบริหารคนแต่ละเจเนอเรชั่น ให้เหมาะกับงาน ตามสภาพความสมรรถภาพทางจิตใจ ในแต่ละด้าน โดยเฉพาะเมื่อมีคนหลายช่วงอายุต้องทำงานร่วมกัน

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออสเตรเลีย โดย ศาสตราจารย์ Gilles E. Gignac ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Intelligence (2025) ได้วิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ครอบคลุม 16 มิติทางจิตวิทยาทั้งด้านเหตุผล ความจำ ความฉลาดทางอารมณ์และบุคลิกภาพสำคัญ 5 ด้าน (Big Five)

พบว่า สมรรถภาพทางจิตโดยรวมของคนเราจะถึงจุดสูงสุดในช่วงอายุ 55-60 ปี ในขณะที่ความรอบคอบ (Conscientiousness) จะมีแนวโน้มสูงสุดในใกล้ช่วงอายุ 65 ปี 

ที่น่าสนใจขึ้นไปอีกคือ ความมั่นคงทางอารมณ์ (Emotional stability) จะเพิ่มขึ้นได้ไปจนสูงสุดราว 75 ปี พร้อมกับที่มีความสามารถขั้นสูงบางอย่าง

เช่น การใช้เหตุผลเชิงศีลธรรม (Moral reasoning) และ การต้านทานอคติทางความคิด (Cognitive bias resistance) อาจยังพัฒนาต่อเนื่องได้จนถึงวัย 70-80 ปี 

เป็นการค้นพบที่ท้าทายความเชื่อที่มีมาแต่เดิม ที่เชื่อกันว่า เมื่อ “ฮาร์ดแวร์” ของสมองทำงานช้าลงไปตามอายุที่มากขึ้นแล้ว “ซอฟต์แวร์ของปัญญา” หรือสมรรถนะทางจิตใจจะตกต่ำลงไปด้วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว “ซอฟต์แวร์ของปัญญา” กลับทำงานได้อย่างลุ่มลึกและแม่นยำมากขึ้นในบางประเด็น

 

ผลการวิจัยจาก Big Data ครั้งนี้ ทำให้มีมุมมองใหม่ในการใช้คนแต่ละเจเนอเรชัน ให้เหมาะกับงาน ตามสภาพความสมรรถภาพทางจิตใจ ในแต่ละด้าน โดยเฉพาะเมื่อมีคนหลายช่วงอายุต้องทำงานร่วมกัน

ถ้ามอบหมายงานให้ถูกรุ่นถูกงาน การบูรณาการระหว่างคนต่างเจเนอเรชันอาจสร้างความสำเร็จของการงานได้เกินกว่าที่คาดหวังไว้ 

 

ผู้บริหารต้องเข้าใจพลังของแต่ละเจเนอเรชั่นอย่างถ่องแท้ เพื่อที่จะได้จัดสรรงานที่สอดคล้องกับพลังของคนรุ่นนั้นได้อย่างเหมาะสม หรือแม้แต่เข้าใจพลังของตนเองที่มีอยู่ในช่วงอายุนั้นๆ 

ถ้าจำแนกงานออกตามสมรรถนะทางสติปัญญาและจิตใจของบุคคล ( Coginitive and Psychological Competence) จะพบว่า

งานที่ต้องวินิจฉัยด้วยความรู้เชิงลึก คนในรุ่นที่อายุมากกว่า (Boomer) จะทำได้ดีกว่าคนรุ่นอายุน้อยกว่า (Gen Z) บนสมมุติฐานว่าต่างมีพื้นฐานการศึกษาใกล้เคียงกัน จบปริญญาโทมาเหมือนกันในสาขาเดียวกัน Boomer จะวินิจฉัยด้วยความรู้เชิงลึกได้ดีที่สุด

ในทำนองเดียวกับงานที่ต้องมีการคิดเชิงกลยุทธ์ที่เน้นภาพรวม สังเคราะห์กลยุทธ์ในมุมกว้างสำหรับองค์กร Boomer จะทำได้ดีกว่าคนรุ่นที่มีอายุน้อยกว่า

แต่ถ้าเป็นกลยุทธ์เฉพาะเรื่องเฉพาะงาน ไม่มีหลักฐานยืนยันได้ชัดเจนว่าคนรุ่นใดเก่งกว่ารุ่นใด 

ไม่น่าแปลกใจที่จะมีข้อสรุปว่า งานที่ต้องการความรวดเร็วทันใจ งานที่ต้องมีการปรับตัวตามเทคโนโลยี งานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ ล้วนเป็นงานที่ Gen Z ทำได้ดีโดดเด่น ใกล้เคียงกับ Gen Y แต่เป็นงานที่ Boomer ทำได้ไม่ดีเลย 

ถ้างานที่ต้องการความรวดเร็ว สร้างสรรค์นั้น ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง ทำงานเป็นทีมมากกว่าการโดดเด่นเป็นรายบุคคล ในวันนี้ คนรุ่น Gen Y ทำได้ดีที่สุด

ถ้าเป็นการทำงานเป็นทีมสำหรับงานทั่วไปแล้ว คนทุกรุ่นทำได้ดีใกล้เคียงกัน คนสูงวัยกับคนหนุ่มทำทีมแตกได้ไม่ต่างกัน

การตัดสินใจอย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบ (Moral Reasoning and Integrity) ดูเหมือนจะดีขึ้นตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น

แต่ไม่ได้หมายความว่าคนสูงวัยทุกคนจะตัดสินใจอย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบ หรือในทางตรงข้ามไม่ได้หมายความว่าคนหนุ่มสาวทุกคนไม่มีจริยธรรมและความรับผิดชอบในการตัดสินใจของตน เป็นเพียงแนวโน้มโดยรวมเท่านั้น 

จากพลังที่โดดเด่นของคนแต่ละรุ่น เราพอจะบอกได้ว่า ถ้าจะสร้างทีมงานที่เป็นเลิศในงานนั้น จะเลือกคนรุ่นใดมาทำงานร่วมกัน 

ถ้าเป็นงานกลยุทธ์ งานกำกับดูแล งานให้คำปรึกษา ให้เลือก Boomer กับ Gen X รุ่นแรกๆ เพราะค่อนข้างจะมีความมั่นคงทางอารมณ์ และมองภาพใหญ่มากกว่าภาพเล็ก

แต่ถ้าเป็นการตอบโต้วิกฤติ หรืองานที่ต้องเฉียบพลันรีรอไม่ได้ ต้องพึ่งพา Gen Z ร่วมทีมกับ Gen X ที่มาช่วยดึงไว้ไม่ให้ผลีผลามมากเกินไปจนเสียงาน 

งานบริหารความเสี่ยงและควบคุมคุณภาพ ถ้าทำได้ให้เลือก Boomer คู่กับ Gen X ให้มีความสมดุลระหว่างประสบการณ์กับการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ 

ถ้าจับคู่ระหว่าง Gen Y กับ Gen Z ให้เลือกงานที่ต้องการนวัตกรรม การวิเคราะห์ข้อมูลหรืองานที่ใช้เทคโนโลยีมากๆ

แต่ถ้าไปงานที่เกี่ยวกับชุมชนและสังคมเป็นสำคัญจะต้องจับคู่ระหว่าง Boomer กับ Gen Y เพื่อให้มีทั้งความน่าเชื่อถือ และการมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อสังคมไปด้วยกัน

การจัดคนให้เหมาะกับงานในยุคนี้ ไม่ได้หมายถึงการเลือกคนที่เก่งที่สุด หรือเส้นสายดีที่สุด แต่คือการเลือก “รุ่นที่ใช่สำหรับงานที่เหมาะ”.