เปิดสูตรลงทุนแบบ บอย ท่าพระจันทร์ ของสะสม อันไหนเบื่อ ต้องขายได้!

เปิดสูตรลงทุนแบบ บอย ท่าพระจันทร์ ของสะสม อันไหนเบื่อ ต้องขายได้!

บอย ท่าพระจันทร์ เผยหลักการลงทุนฉบับเซียนพระ-เซียนหุ้น สินทรัพย์ทุกชิ้นที่สะสมไว้ ถ้าเบื่อแล้วต้องขายต่อได้ รู้จักบริหารความเสี่ยง หัวใจสำคัญคือ กล้าจ่าย และรับผิดชอบ

KEY

POINTS

  • บอย ท่าพระจันทร์ ยึดหลักการลงทุนสำคัญคือ สินทรัพย์ทุกชิ้นที่สะสม ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง หุ้น หรือกระเพาะปลาเก่า จะต้องมีสภาพคล่อง และสามารถขายต่อได้เสมอ เมื่อเบื่อหรือหมดความสนใจ
  • เขามองการสะสมของมีค่าเป็นการลงทุนที่บริหารด้วยหลักคิดของนักลงทุน โดยเน้นการประเมินมูลค่า ความเสี่ยง และต้องมั่นใจว่ามีตลาดรองรับการขายต่อในอนาคต
  • หัวใจสำคัญของเซียนนักลงทุนคือ "ความกล้าจ่าย" และ "ความรับผิดชอบ" โดยต้องกล้าตัดสินใจซื้อ และยอมรับความผิดพลาดหากซื้อของปลอมมา เพื่อรักษามาตรฐาน และความน่าเชื่อถือของตนเอง

ในโลกของสินทรัพย์ทางเลือกที่เต็มไปด้วยความศรัทธา และมูลค่าที่สูงลิ่ว ชื่อของ “อรรถวัติ ศิริสิทธิธงไชย” หรือที่รู้จักกันในนาม “บอย ท่าพระจันทร์” ไม่ได้เป็นเพียงเซียนพระชื่อดังเท่านั้น แต่เขาคือ นักลงทุนมือทอง ที่มีหลักการลงทุนในของสะสม และการบริหารความเสี่ยงที่น่าสนใจ ทั้งในฐานะ “เซียนพระ” ชื่อดัง และ “เซียนหุ้น” ผู้ครอบครองพอร์ตในมือมูลค่าหลักพันล้านบาท

การลงทุนโดยเฉพาะ “ของสะสม” สไตล์ “บอย ท่าพระจันทร์”​ อยู่ภายใต้แนวคิดที่ว่า ของทุกชิ้นที่สะสมต้อง “มีมาตรฐาน” และ “ขายได้” ในวันที่ผู้ถือครองเบื่อ หรือหมดความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น พระเครื่อง หรือแม้แต่กระเพาะปลาเก่า ซึ่งทั้งหมดนี้ แม้จะตีราคากันเป็นมูลค่าหลายสิบล้าน เขาก็ไม่เกี่ยงที่จะลงทุน!

“กรุงเทพธุรกิจ จุดประกาย” ชวนถอดรหัสปรัชญาการลงทุนในแบบฉบับของ “บอย ท่าพระจันทร์” เซียนพระชื่อดังเมืองไทย จากเส้นทาง 32 ปีในวงการพระเครื่อง จากนักสะสมสู่การเป็นนักลงทุน ผู้กำหนดมาตรฐานความเชื่อถือด้วย “ความกล้าจ่าย” และ “ความรับผิดชอบ” ที่เจ้าตัวบอกว่า นี่คือ “จุดตัด” ระหว่าง เซียน กับ ไม่ใช่เซียน!

มองตลาด 'พระเครื่อง' ด้วยสายตาเซียนหุ้น

เมื่อเอ่ยชื่อของ “บอย ท่าพระจันทร์” แน่นอนว่า แทบไม่ต้องอธิบายกันแล้ว ว่า เขาคนนี้คือใคร โดยเฉพาะถ้าวัดจากยอดฟอลเกินล้าน ทั้งใน Facebook และ TikTok ที่การันตีชื่อเสียงของชายคนนี้ได้อย่างดี และส่วนใหญ่ก็ทราบกันดีถึงเส้นทางการเติบโตของบอย ที่เริ่มต้นจากตลาดพระเครื่อง ซึ่งเป็นที่มาของสกุล “ท่าพระจันทร์” ห้อยท้ายชื่อ โลดแล่นในวงการพระตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน ก่อนจะสั่งสมประสบการณ์ และเติบโตก้าวหน้าในเส้นทางนี้อย่างรวดเร็ว

ความสำเร็จที่สั่งสมมากว่า 30 ปี ไม่ได้มาด้วยโชคช่วย แต่มาจากความพยายามในการสร้างมาตรฐานความรู้ให้กับวงการพระ โดยเฉพาะผลงานการจัดทำหนังสือเหรียญเป็นคนแรกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2550 โดยมีการถ่ายภาพเหรียญพระเครื่องในทุกมิติ ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และขอบข้างอย่างละเอียด ซึ่งถือเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่สมบูรณ์ครบถ้วน เพื่อให้ผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้หลักการดูพระเหรียญได้อย่างเป็นระบบ นับเป็นการปฏิวัติวิธีถ่ายทอดความรู้ในวงการพระเครื่องอย่างแท้จริง 

ถึงแม้จะชอบถูกนิยามว่าเป็น “เซียนพระ” แต่เจ้าตัวพูดชัดเจนถึงสถานะตัวเองปัจจุบันว่า อาชีพหลักคือ “เซียนหุ้น” โดยบอกว่า ตนเองไม่ได้เล่นพระเครื่องเป็นอาชีพหลัก แต่เป็นเซียนหุ้นที่เทรดในตลาดการเงินเป็นหลัก มีวอลุ่มการเทรดสูงระดับหมื่นล้านบาทต่อปี และพร้อมที่จะขาดทุนในวันเดียวหลักสิบล้านบาท!

ดังนั้น การเล่นพระเครื่องมูลค่า 10 ล้าน, 20 ล้าน, หรือ 30 ล้านบาทของเขาในวันนี้ ถือเป็น “เรื่องสนุกคั่นเวลา” ที่เกิดจากความรัก และความศรัทธา แต่ถูกบริหารจัดการด้วยหลักคิดแบบนักลงทุน

“วันนี้การเล่นพระของผม หรือการซื้อขายพระของผมมันเป็นเรื่องสนุกในชีวิตเพื่อคั่นเวลา เป็นความชอบที่เรามีมาตั้งแต่อายุ 13 จนตอนนี้เราอยู่ในวงการพระเครื่องมา 32 ปีแล้ว เป็นเรื่องความชอบ และความศรัทธาครับ” บอย อธิบาย

เปิดสูตรลงทุนแบบ บอย ท่าพระจันทร์ ของสะสม อันไหนเบื่อ ต้องขายได้!

บอย ยังบอกอีกว่า เขามองการเล่นพระเครื่องคือ การลงทุนอย่างหนึ่ง โดยยกตัวอย่างถึงช่วงเวลาที่ตลาดพระซบเซา ราคาตกลงเยอะ ซึ่งในชีวิตเขาเห็นวัฏจักรแบบนี้มาหลายรอบแล้ว และในมุมมองของนักลงทุน นี่คือ “โอกาสในการสะสมพระ” ที่มีมูลค่าอนาคตชัดเจน

พร้อมเผยถึงหลักการสำคัญที่ยึดถือว่า คือ การ “คำนวณความเสี่ยง” ที่แม่นยำ อันเป็นเบื้องหลังการกล้าตัดสินใจซื้อพระในราคาสูง เช่น 5 ล้านบาท (ราคาสูงกว่าราคาทองคำในน้ำหนักเดียวกันถึง 100 เท่า) โดยเจ้าตัวบอกอีกว่า ไม่กลัวของปลอม เหตุผลก็เพราะว่า มั่นใจในความรู้การประเมินความเสี่ยง และมูลค่าที่แท้จริงอย่างแม่นยำ

แต่แน่นอนว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ตัวเขาเองก็เช่นกัน คือ พร้อมยอมรับว่า หากพระเครื่องที่ซื้อมาเกิดเป็นของปลอมจริงๆ มูลค่าจะเหลือเพียงเศษทอง ก็ถือเป็นความเสี่ยงที่เขายอมรับได้ และรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้า “แท้” มูลค่าก็จะพุ่งสูงขึ้นกว่านั้นมาก

นิยาม “เซียน” และมาตรฐานที่ต้องยึดถือ

เมื่อถามถึงการพิสูจน์ว่า “พระแท้” หรือ “พระเก๊” ประเด็นคลาสสิกของวงการพระเครื่อง ที่ส่งผลต่อการกำหนดมูลค่าของพระเครื่ององค์นั้นๆ บอยอธิบายว่า การจะบอกได้ว่าอันไหนพระแท้พระเก๊ ต้องยึดถือมาตรฐานที่ถูกสร้างโดย “สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย” ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิอย่าง ป๋า พยัพ คำพันธุ์ เป็นแกนหลัก โดยยืนยันว่าคนในประเทศกว่าร้อยละ 99.5 ต่างยึดถือหลักการของสมาคมฯ เป็นบรรทัดฐาน และหลักการที่สมบูรณ์ที่สุดในการตรวจสอบความแท้ของพระเหรียญ คือ การดูที่ ตัวตัด หน้า หลัง และขอบข้าง

ส่วนเรื่องการใช้เครื่องตรวจสอบแร่หิน และชั้นดินทางธรณีวิทยา เพื่อพิสูจน์อายุพระเครื่องตามหลักวิทยาศาสตร์นั้น บอย ส่ายหน้าปฏิเสธ เนื่องจากมองว่า อิฐ หิน ปูน ทราย มีอายุเป็นพันล้านปีอยู่แล้ว ดังนั้น การพิสูจน์ความแท้จริงๆ ของพระเครื่อง และพระเหรียญต้องดูที่ “พิมพ์” หรือ “บล็อก (แม่พิมพ์)” ที่คนในวงการให้การยอมรับเป็นมาตรฐานเท่านั้น

นอกจากนี้ เขายังให้คำจำกัดความของ “เซียนพระ” ที่แท้จริงว่า ต้องเป็นผู้ที่ ซื้อได้ ขายได้ และต้องรับผิดชอบตัวเองได้

หากเซียนตกลงซื้อพระจากลูกค้าแล้ว ต้องจ่ายเงิน โดยไม่ต้องร้องขอการรับประกันจากผู้ขาย เพราะนี่คือการ “รับผิดชอบตัวเองได้” และถ้าเกิดพระที่ซื้อมาเป็นของเก๊ คนที่เรียกตัวเองเป็นเซียน ก็ต้อง “ห้ามคืน” และรับผิดชอบความผิดพลาดนั้นด้วยการเก็บพระเก๊องค์นั้นไว้เอง

“เซียนพระตัวจริงต้องเป็นคนที่มีชื่อชั้นในการซื้อพระ และความกล้าที่จะจ่ายเงิน ถ้าลูกค้าเอาพระมาให้ดู และเซียนตกลงซื้อ ต้องจ่ายเงินได้เลยโดยที่ไม่บอกว่า เฮ้ย.. คุณไม่ต้องรับประกัน แต่ต้องบอกว่า ผมรับผิดชอบตัวเองได้ อันนี้คือ เซียน” บอย เน้นย้ำ

และจะขึ้นชื่อว่า เซียน ก็ต้องมีพลาดกันบ้าง บอยยอมรับว่า ส่วนตัวก็เก็บทุกองค์ที่เคย ‘โดนเก๊หนัก’ หรือที่เรียกกันว่า ‘โดนเต็มตีน’ ไว้หลายองค์เช่นกัน โดยเก็บใส่กระป๋องไว้ สาเหตุที่เลือกทำแบบนี้ก็เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ ไม่ให้พระปลอมถูกนำไปหมุนเวียนขายต่อในตลาด

นอกจากนี้ เขายังอธิบายถึงสิ่งที่แยก “เซียนพระทั่วไป” ออกจาก “เซียนพระเบอร์ต้นของวงการ” คือ ความกล้าตัดสินใจจ่ายเงินก้อนใหญ่ แม้ว่าความเก่งในการดูพระที่เรียนมาจากแพทเทิร์นเดียวกัน แต่ถึงเวลาที่ต้องจ่ายเงิน 5 ล้าน, 10 ล้าน, 15 ล้าน, หรือ 25 ล้านบาท “คุณกล้าชกไหม?” (กล้าทุ่มจ่ายไหม) ความเด็ดขาดในการทุ่มเงินซื้อสินทรัพย์มูลค่าสูงนี้เอง ที่คัดคนที่เป็น “เซียนตัวจริง” ให้เหลือเพียงไม่ถึง 10 คน และสร้างความเชื่อถือสูงสุดในฐานะผู้นำในตลาด

เปิดสูตรลงทุนแบบ บอย ท่าพระจันทร์ ของสะสม อันไหนเบื่อ ต้องขายได้!

ไม่เพียงเท่านั้น ในฐานะนักลงทุนผู้มีชื่อเสียง บอย ยังต้องเผชิญกับบทเรียนจากการพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการซื้อเหรียญหลวงปู่ทวดทองคำ ที่มีคนเหมามาในราคาเพียง 100 บาท ก่อนจะถูกส่งผ่านมือหลายต่อ ก่อนจะถึงบอยที่ถูกเสนอราคาที่ 10 ล้านบาท ซึ่งตอนนั้นบอยตัดสินใจคืนเหรียญไป

ก่อนจะทราบภายหลังว่าเหรียญทองคำล้ำค่านั้นถูกขายไปในราคาเพียง 400,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก การพลาดจังหวะการซื้อขายครั้งนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า ในตลาดการลงทุนทุกประเภท “ความเด็ดขาด” และ “จังหวะเวลา” คือปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จ

จะเล่นพระ หรือ เล่นหุ้น ก็ต้องการกล้าเสี่ยง

อย่างที่บอกไปว่า บอย ไม่ใช่แค่เซียนพระแต่คือ นักลงทุนที่จริงจังคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็มีการลงทุนสูงในวงการเทรดหุ้นด้วย เขายืนยันสถานะของตนเองที่ชัดเจนว่า “ส่วนตัวผม ณ เวลานี้ ผมไม่ได้เป็นแค่เซียนพระ ผมเล่นหุ้นเป็นหลัก อาชีพหลักของผมวันนี้มันคือเซียนหุ้น” และในฐานะเซียนหุ้น บอย เปิดเผยถึงมูลค่าการเทรดต่อปีที่สูงถึง 40,000 - 60,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นรองเพียงเซียนหุ้นชื่อดังอย่าง เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง เท่านั้น

ความสามารถในการบริหารความเสี่ยงในตลาดเงินระดับนี้ ทำให้การซื้อขายพระเครื่องมูลค่าสูงกลายเป็นเพียงเกมที่ผ่อนคลาย โดยเขากล่าวเปรียบเทียบว่า ในตลาดหุ้นเขายอมขาดทุนได้ 20-30 ล้านต่อวัน หรือบางวันเล่นหุ้นได้กำไร 40-50 ล้านต่อวัน ฉะนั้นมูลค่าหุ้นที่เล่นอยู่ค่อนข้างสูงมากกว่าการเล่นพระเครื่อง

ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจซื้อพระองค์ละ 10 ล้าน, 20 ล้าน, หรือ 30 ล้านบาท จึงเป็น “เรื่องสนุก” เพราะเขารู้ดีว่าคนที่กล้าตัดสินใจจ่ายเงินหลักนี้มีน้อยมาก

บอย มองว่าการดูพระ และการลงทุนของเขาเป็นหลักการเดียวกัน เขาเชื่อว่าคนที่เล่นทั้งพระเครื่อง และหุ้นจะต้อง “ใจถึงมากๆ” เนื่องจากสินทรัพย์ทั้งสองประเภทต้องอาศัยความกล้าหาญในการตัดสินใจ และเผชิญหน้ากับความเสี่ยง โดยเขาเปรียบเทียบผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวังจากสินทรัพย์ทั้งสองประเภท

ถ้าให้เปรียบเทียบกัน บอยมองว่า การลงทุนในพระเครื่องมีความแน่นอนกว่า หมายความว่า ซื้อเท่าไรรู้เลยว่าจะขายได้เท่าไร แต่สำหรับหุ้น การจะมาเล่นหุ้นเพื่อหวังกำไร 10% 15% แบบแน่นอนทุกครั้ง มันไม่ได้ ดังนั้น เขาจึงต้องใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันในการแสวงหาผลตอบแทน

เปิดสูตรลงทุนแบบ บอย ท่าพระจันทร์ ของสะสม อันไหนเบื่อ ต้องขายได้!

กฎเหล็กของนักสะสม เมื่อเบื่อแล้วต้อง “ขายได้”

ปรัชญาการลงทุนของ บอย ท่าพระจันทร์ คือ การมองสินทรัพย์ทุกประเภทด้วยสายตาเดียวกัน นั่นคือ ทุกสิ่งที่สะสมต้องมีสภาพคล่อง และมีมูลค่าขายต่อได้ หลักการนี้ครอบคลุมตั้งแต่พระเครื่องจำนวนหลายหมื่นองค์ที่บ้าน ไปจนถึงของสะสมอื่นๆ เช่น กระเพาะปลาเก่า และผลงานศิลปะที่เคยสะสมไว้ เช่น ผลงาน อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต, อ.ประเทือง เอมเจริญ และ โน้ส อุดม เป็นต้น

แต่ที่เป็นไวรัลมากหน่อย น่าจะเป็นการรับซื้อ “กระเพาะปลาเก่า” ในราคาสูงหลักแสนจนถึงหลักล้าน จนทำให้หลายคนถึงกับไปค้นที่บ้านตัวเอง เผื่อจะฟลุคโชคดีกับเขาบ้าง

บอยได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการมองเห็นโอกาสในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ที่ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญขั้นสูง อย่างกรณีกระเพาะปลาเก่า บอยระบุว่า ความสำเร็จในการลงทุนของเขานั้นมาจากสองปัจจัยหลักคือ ความเก่งในการแยกแยะของแท้ และของปลอม และความสามารถในการมองเห็นมูลค่าในอนาคต

บอยเปรียบเทียบความเสี่ยงในการลงทุนกับกระเพาะปลาว่ามีความสุดขั้วไม่ต่างกัน หากเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ก็มีโอกาสเจ็บตัวสูง แต่เขาก็ยอมรับความเสี่ยงที่สูงลิ่ว โดยเขาเล่าว่า “พอผมมองเห็นกระเพาะปลาเก่าปุ๊บ ผมรู้เลยว่าตัวนี้ขายได้ 10 ล้าน ตัวนี้ขาย ได้ 20 ล้าน ตัวนี้ขายได้ 30 ล้าน ถามว่าถ้าผมซื้อไปแล้วมันเก๊ล่ะ ถามว่าผมเห็นอะไรจากกระเพาะปลา ถ้าผมเห็นว่ามันซื้อแล้ว ขายไม่ได้ ผมจะเล่นเหรอ เหตุผลมีเท่านั้นเอง” นี่แสดงให้เห็นถึงการยอมรับความเสี่ยงอย่างเต็มใจของเจ้าตัว

และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ในทุกๆ “ของสะสม” ที่ชายคนนี้ยอมทุ่มเงินลงไปนั้น “พระหรือของสะสมของผมทุกชนิดที่ผมมีที่บ้าน ผมคิดเสมอว่าวันหนึ่งที่ผมเบื่อเมื่อไหร่ มันต้องขายได้”

นี่คือ หลักการเรียบง่าย ไม่ต้องซับซ้อนในโลกการลงทุน ซึ่ง “บอย ท่าพระจันทร์” ยืนยันว่า ..ถูกต้องเสมอ! 

เปิดสูตรลงทุนแบบ บอย ท่าพระจันทร์ ของสะสม อันไหนเบื่อ ต้องขายได้!

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์