Hybrid Creep พนักงานเข้าออฟฟิศบ่อยขึ้นไม่รู้ตัว ทริกใหม่บริษัท

Hybrid Creep พนักงานเข้าออฟฟิศบ่อยขึ้นไม่รู้ตัว ทริกใหม่บริษัท

บริษัทไม่ใช้นโยบาย RTO แบบตรงๆ แต่ขอให้พนักงานเข้าออฟฟิศถี่ขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏการณ์ Hybrid Creep ทำงานไฮบริดไม่ยืดหยุ่นเหมือนที่คิด อาจกลับสู่วังวนทำงาน 5 วันไม่รู้ตัว

KEY

POINTS

  • Hybrid Creep คือปรากฏการณ์ที่บริษัทค่อยๆ เพิ่มจำนวนวันให้พนักงานเข้าออฟฟิศ โดยไม่มีการประกาศเปลี่ยนนโยบายการทำงานแบบไฮบริดอย่างเป็นทางการ
  • ข้อมูลชี้ว่าจำนวนวันที่พนักงานต้องเข้าออฟฟิศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนพนักงานที่เข้าออฟฟิศ 4 วันต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปี 2023 เป็น 34% ในปี 2025
  • พนักงานบางส่วนปรับตัวด้วยวิธี "Coffee Badging" คือเข้าออฟฟิศเพียงช่วงสั้นๆ เพื่อแสดงตัวแล้วกลับไปทำงานต่อที่บ้าน เพื่อรักษาความยืดหยุ่นในการทำงาน
  • ขณะเดียวกัน พนักงานอีกกลุ่มหนึ่งกลับต้องการเข้าออฟฟิศบ่อยขึ้น เพราะเชื่อว่าช่วยให้มีสมาธิในการทำงานและสร้างปฏิสัมพันธ์กับทีมได้ดีกว่า

แม้ยุคทำงานไฮบริด (Hybrid Work) จะถูกยกให้เป็น “สมดุลทองคำ” ของการทำงานยุคใหม่ แต่ดูเหมือนว่าความยืดหยุ่นนั้นกำลังถูกบั่นทอนอย่างเงียบ ๆ โดยรายงานล่าสุดจาก Owl Labs เผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Hybrid Creep” หรือ “การคืบคลานของนโยบายเข้าออฟฟิศแบบเงียบๆ” เมื่อบริษัทไม่ได้ประกาศเปลี่ยนนโยบายอย่างเป็นทางการ แต่กลับค่อย ๆ เพิ่มจำนวนวันเข้าออฟฟิศให้พนักงานโดยไม่รู้ตัว

“เข้าออฟฟิศ 2 วันต่อสัปดาห์” ไม่มีจริง! บริษัทให้เข้าบ่อยขึ้นแบบอ้อมๆ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การทำงานแบบไฮบริดกลายเป็นสิ่งที่คนทำงานออฟฟิศจำนวนมากใฝ่ฝัน โดยเฉพาะหลังยุคโควิด-19 ที่ทำให้โลกการทำงานเห็นว่า “งานที่ดี” ไม่จำเป็นต้องอยู่ในออฟฟิศเสมอไป

แต่ในปี 2025 สัญญานั้นอาจไม่มั่นคงอย่างที่คิด เนื่องจากตามรายงานของ Owl Labs ระบุว่า บริษัทส่วนใหญ่ยังคงอ้างว่า “ไม่ได้เปลี่ยนนโยบายการทำงาน” จากงานไฮบริดไปเป็นอย่างอื่น (ยังคงให้ความยืดหยุ่นกับพนักงาน)
แต่ในทางปฏิบัติ พนักงานกลับพบว่า จำนวนวันที่ต้องเข้าออฟฟิศกลับเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และบางครั้งก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

ข้อมูลตามรายงานที่ระบุว่า มีเพียง 23% ของบริษัทในสหรัฐฯ ที่ประกาศปรับนโยบายไฮบริดหรือรีโมตอย่างเป็นทางการในรอบปีที่ผ่านมา ขณะที่ 73% ของพนักงาน ยืนยันว่าบริษัทของพวกเขา “ยังไม่มีประกาศนโยบายการทำงานอะไรใหม่”

แต่ตัวเลขจริงของการทำงานกลับบอกเล่าเรื่องตรงกันข้าม นั่นคือ จำนวนวันที่พนักงานต้องเข้าออฟฟิศกลับเพิ่มขึ้นทุกปี แม้ไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการจากบริษัทก็ตาม

โดยในปี 2025 พบว่า 63% ของพนักงาน ทำงานในออฟฟิศเต็มเวลา ขณะที่ 9% ทำงานรีโมตเต็มรูปแบบ ส่วนที่เหลือราว 1 ใน 4 คือพนักงานไฮบริด ซึ่งสัดส่วนนี้สูงขึ้นจากปี 2024 ทั้งนี้ หากเทียบรายปีจะเห็นการขยับชัดเจนมากขึ้น ได้แก่ 

ปี 2023 พนักงานต้องเข้าออฟฟิศ 1 วันต่อสัปดาห์อยู่ที่ 10% ส่วนปี 2025 พนักงานต้องเข้าออฟฟิศ 1 วันต่อสัปดาห์ ลดลงเหลือเพียง 5% เทียบกับ ปี 2023 พนักงานต้องเข้าออฟฟิศ 4 วันต่อสัปดาห์อยู่ที่ 25% แต่ในปี 2025 พนักงานต้องเข้าออฟฟิศ 4 วันต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นเป็น 34% (ดูตามตารางข้างล่างเพิ่มเติม)

Hybrid Creep พนักงานเข้าออฟฟิศบ่อยขึ้นไม่รู้ตัว ทริกใหม่บริษัท

จะเห็นว่า บริษัทค่อยๆ ขยับจากการเข้าออฟฟิศ 2-3 วัน ไปสู่ 4 วันต่อสัปดาห์โดยไม่ประกาศนโยบายชัดเจน นั่นหมายความว่า “การทำงานไฮบริด” กำลังแปลงร่างกลับไปสู่ “การทำงานเต็มเวลาในออฟฟิศ” ทีละขั้นๆ อย่างช้าๆ สอดคล้องกับรายงานของ Owl Labs ที่ระบุว่า “แม้ไม่มีประกาศใหญ่ระดับองค์กร แต่พนักงานจำนวนมากกำลังเผชิญ ‘การกลับออฟฟิศแบบช้าๆ’ อย่างต่อเนื่อง” 

นโยบายไม่เปลี่ยน แต่ชีวิตเปลี่ยน: เส้นแบ่งสมดุลเริ่มหายไป

เมื่อไม่มีประกาศชัดเจนว่าต้องเข้าออฟฟิศเพิ่มหรือไม่ พนักงานหลายคนจึงเริ่มรู้สึกว่า “ชีวิตส่วนตัวกับเวลางาน” เริ่มปะปนกลืนกันไปหมดแล้ว โดยรายงานของ Owl Labs พบว่า

30% ของพนักงาน ไม่มีเวลาเริ่มงานและเลิกงานที่แน่นอนอีกต่อไป
59% ของพนักงาน นัดหมายส่วนตัวในช่วงเวลางาน เช่น นัดหมอ รับลูก ทำธุระ
38% ใช้เวลานัดทำธุระส่วนตัวไม่เกิน 1 ชั่วโมง
17% ใช้เวลาพักถึง 90 นาทีต่อวัน นอกเหนือจากพักกลางวัน

สิ่งนี้สะท้อนว่าพนักงานกำลังใช้ชีวิต “ระหว่างบ้านกับออฟฟิศ” อย่างแท้จริง
โดยไม่รู้ตัวว่าความยืดหยุ่นที่เคยมี กำลังค่อยๆ หายไป ทั้งนี้มีความคิดเห็นจาก ไฟเนียส ทาทาร์ (Fineas Tatar) ผู้เชี่ยวชาญด้านประสิทธิภาพการทำงาน และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทผู้ช่วยระยะไกล Viva ให้สัมภาษณ์กับ Fortune ว่า การตั้ง “ขอบเขตใหม่” ระหว่างงานและชีวิตคือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้

เขาแนะนำ 3 วิธีรับมือกับ Hybrid Creep ดังนี้

1. ตรวจสอบตารางงาน (Audit your calendar)

ลองมองหาการประชุมที่ไม่มีประโยชน์และตัดออก เพื่อคืนเวลาให้กับการทำงานที่สำคัญจริงๆ เช่น การทำงานแบบคิดเชิงกลยุทธ์

2. เว้นช่วงระหว่างภารกิจ (Protect transition time)

ผู้นำจะตัดสินใจได้ดีกว่า เมื่อมีเวลาพักระหว่างภารกิจสำคัญ แทนการประชุมติดกัน

3. สร้างความชัดเจนในบทบาท (Invest in role clarity)

ควรทำให้พนักงานทุกคนรู้ว่าหน้าที่และอำนาจการตัดสินใจของตนคืออะไร เพื่อลดปัญหาคอขวด และลดความเหนื่อยล้าในทีม

ผู้เชี่ยวชาญด้านประสิทธิภาพงาน ระบุด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เช่นนี้สามารถสะสมผลลัพธ์ระยะยาวได้ จะช่วยให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความเครียดจากนโยบาย “เข้าออฟฟิศแบบไม่เป็นทางการ” หรือ Hybrid Creep ลงได้

คนทำงานบางส่วนก็เริ่มอยากกลับออฟฟิศ แต่เลือกในแบบของตัวเอง

แม้จะมีเสียงต่อต้านจากพนักงานบางกลุ่ม แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่รู้สึกว่า “อยากกลับเข้าออฟฟิศ” เพราะมองว่า การทำงานในออฟฟิศช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้นและรู้สึกเชื่อมโยงกับทีมมากกว่าเดิม

มีผลสำรวจอีกชิ้นพบว่า 21% ของพนักงาน ตอนนี้อยากเข้าออฟฟิศ 4 วันต่อสัปดาห์ (เพิ่มจาก 17% ในปีที่แล้ว) และ 25% ของพนักงาน ระบุว่าชอบทำงานในออฟฟิศเต็มเวลา ทั้งนี้ แรงจูงใจหลักคือความรู้สึก “มีประสิทธิภาพและมีปฏิสัมพันธ์” โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารทีม การพบปะผู้คนใหม่ๆ และการได้รับคำแนะนำจากหัวหน้า

ไม่เพียงเท่านั้น 43% ของพนักงานบอกว่า ตนเอง “โฟกัสงานได้ดีกว่าเมื่ออยู่ในออฟฟิศ” เทียบกับราว 1 ใน 3 ที่บอกว่าทำงานได้ดีที่สุดจากที่บ้าน ซึ่งในปี 2024 ตัวเลขทั้งสองยังเท่ากันอยู่ที่ 41% นี่แปลว่าความเชื่อมั่นในออฟฟิศเริ่มกลับมาอีกครั้ง ยกตัวอย่างบริษัทใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง แอมะซอน (Amazon) และ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ต่างก็เพิ่มวันเข้าออฟฟิศในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้จะยังคงเรียกตัวเองว่า “องค์กรไฮบริด”

อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องเข้าออฟฟิศบ่อยขึ้น แต่หลายคนก็เลือกกลับมา “ในแบบของตัวเอง” หนึ่งในเทรนด์ที่ยังคงอยู่คือ Coffee Badging หมายถึง การเข้าออฟฟิศแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพื่อ “แสดงตัวให้เห็น” เช็กชื่อ ดื่มกาแฟ ประชุมสั้นๆ พบเพื่อนร่วมงาน แล้วกลับไปทำงานต่อที่บ้าน

จากการสำรวจของ Owl Labs พบว่า 43% ของพนักงานไฮบริด ยอมรับว่าทำ Coffee Badging เป็นประจำ และ 12% บอกว่าอยากลองทำดู และในบรรดาคนที่ถูกหัวหน้ารู้เรื่อง มากกว่าครึ่งระบุว่า “บริษัทไม่ได้ว่าอะไร” แม้เทรนด์นี้จะลดลงจากปี 2023 แต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นว่า พนักงานกำลังหาวิธีรักษาอิสระในการทำงาน แม้ต้องกลับมาออฟฟิศมากขึ้น

แม้ “Hybrid Work” เคยเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและความสมดุลในโลกการทำงานยุคใหม่ แต่ “Hybrid Creep” ก็เผยให้เห็นว่าความยืดหยุ่นนั้นอาจค่อยๆ ถูกยึดคืนไปโดยองค์กรอย่างเงียบๆ บางคนอาจมองว่านี่คือแรงกดดันที่แทรกซึมผ่านวัฒนธรรมองค์กร จากทำงาน 2 วันต่อสัปดาห์ กลายเป็น 3 วัน และเป็น 4 วัน จนในที่สุด “ความยืดหยุ่น” ที่พนักงานเคยมี อาจเหลือแค่คำพูดในสัญญาจ้างงานเท่านั้น

แต่ในขณะที่ความยืดหยุ่นของบางบริษัทลดลง ก็เกิดวิธีการทำงานใหม่ๆ ที่เกิดจากการที่พนักงานปรับตัว หาทางออกให้ตนเอง โดยยังสามารถแบ่งเวลางานและเวลาส่วนตัวได้ ท้ายที่สุดก็คงอยู่ที่แต่ละองค์กรว่าจะพูดคุยสื่อสาร และหาทางไปต่อร่วมกันได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน

 

อ้างอิง: FortuneOwl Labs Report