ลาพักร้อนคือลาไปนอน พนักงานยุคนี้เหนื่อยเกินกว่าจะไปเที่ยว

ผลสำรวจเผย วัยทำงานสหรัฐ 1 ใน 3 ใช้วันลาพักร้อนเพื่อ “นอน” พักฟื้นความเหนื่อยล้า ไม่ได้ลาไปเที่ยวอย่างที่ตั้งใจ โดยเฉพาะ Gen Y (43%) สะท้อนการทำงานที่หลงลืมการพักผ่อน
KEY
POINTS
- ผลสำรวจในสหรัฐฯ พบว่าพนักงานยุคใหม่ 37% ใช้วันลาพักร้อนเพื่อการนอนหลับพักผ่อนที่บ้าน แทนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยว
- สาเหตุสำคัญมาจากความเหนื่อยล้าสะสมและภาวะหมดไฟ (Burnout) ทำให้พนักงาน โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y เลือกที่จะใช้วันหยุดไปกับการนอนพักฟื้นฟูร่างกายมากกว่าคนรุ่นอื่น
- ปัจจัยด้านค่าครองชีพที่สูงขึ้นและความกดดันในชีวิต ทำให้เทรนด์ "Staycation" หรือการพักผ่อนอยู่บ้านได้รับความนิยมมากขึ้น
- วันลาพักร้อนกำลังเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นรางวัลของพนักงาน สู่การเป็นเครื่องมือเพื่อ "อยู่รอด" ในโลกการทำงานที่เรียกร้องสูง
เทรนด์ใหม่ พนักงานยุคนี้ไม่ใช้ “วันลาพักร้อน” เพื่อเดินทางท่องเที่ยวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่วันหยุดเหล่านั้นถูกใช้ไปกับการ “นอนหลับ” แทน ยืนยันจากผลสำรวจล่าสุดของเว็บไซต์ Amerisleep.com ที่ทำการสำรวจวัยทำงานในกลุ่มชาวอเมริกันกว่า 1,200 คน ชี้ว่า วัยทำงานชาวอเมริกัน 37% ใช้วันลาพักร้อน ในปีที่ผ่านมา (PTO) ไปกับการนอนพักผ่อนอยู่บ้าน หรือใช้เพื่อนอนหลับชดเชยให้เพียงพอ มากกว่ากิจกรรมท่องเที่ยวอย่างเห็นได้ชัด
แม้หลายบริษัทในสหรัฐฯ จะปรับนโยบายวันลาพักร้อนให้ยืดหยุ่นมากขึ้น บางแห่งถึงขั้นให้พนักงานลาหยุดได้แบบ “ไม่จำกัดวัน” แต่ภาวะค่าครองชีพสูงขึ้นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากไม่อยากใช้วันลาเพื่อท่องเที่ยว
Gen Y เหนื่อยสะสม ใช้วันลาหยุดเพื่อไปนอนมากกว่ารุ่นอื่น!
อย่างไรก็ตาม “ความเหนื่อยล้าสะสม (Exhaustion)” กลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งกว่า ทำให้พนักงานเลือกใช้วันลาเพื่อ “นอนหลับพักผ่อน” มากกว่าทำกิจกรรมผ่อนคลายอย่างอื่นๆ
รายงานระบุว่า หนึ่งในสามของแรงงาน ไม่ได้ใช้วันหยุดเพื่อความบันเทิงหรือการท่องเที่ยว แต่ใช้เพื่อฟื้นฟูร่างกายจากความอ่อนล้า โดยเฉพาะในกลุ่ม มิลเลนเนียล (Millennials) หรือ Gen Y ที่มีสัดส่วนสูงที่สุดถึง 43%
ตามด้วย เจนเอ็กซ์ (Gen X) ที่ 34%, เจนซี (Gen Z) ที่ 33%, และ เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomers) เพียง 20%
ทำไมคนยุคนี้ถึงต้อง “ลาไปนอน” แทน “ลาไปเที่ยว”
เควิน ทอมป์สัน (Kevin Thompson) ซีอีโอของบริษัท 9i Capital Group และผู้จัดรายการพอดแคสต์ 9innings ให้สัมภาษณ์กับ Newsweek ว่า “ทุกวันนี้คนทำงานจำนวนมาก โหยหาสมดุลชีวิตที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ พวกเขาใช้วันลาแค่เพื่อพักหายใจให้ตัวเองได้พักจริง ๆ”
เขาเสริมว่า ความต้องการพักผ่อนนั้นมาจากภาระชีวิตหลายด้าน ทั้งการดูแลลูก ครอบครัวขยาย และภาระทางสังคมที่ไม่มีวันจบ “มันสมเหตุสมผลแล้วที่หลายคนอยากใช้วันลาเพื่อชาร์จพลังชีวิตกลับมา”
ที่น่าสนใจคือ กลุ่มที่มีรายได้สูงกลับเป็นกลุ่มที่ “ลานอน” มากที่สุด โดยผลสำรวจพบว่า คนที่มีรายได้เกิน 100,000 ดอลลาร์ต่อปี มีแนวโน้มใช้วันลาไปกับการนอนพักมากกว่าคนรายได้ต่ำกว่านี้ถึง 26% ซึ่งเฉลี่ยแล้ว คนทำงานชาวอเมริกันที่ใช้ PTO เพื่อพักผ่อน มักใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน เพื่อ “นอนชดเชย” ให้เพียงพอ
พนักงานยุคนี้หมดไฟจนต้อง “ลาพักใจ”
ขณะที่ โรซี ออสมัน (Rosie Osmun) โค้ชด้านวิทยาศาสตร์การนอนหลับจาก Amerisleep ให้ความเห็นกับ Newsweek ว่า “ภาวะหมดไฟ (Burnout) กำลังแพร่หลายมากขึ้น จนคนทำงานต้องใช้วันหยุดพักร้อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายพื้นฐานแทนที่จะใช้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ”
“สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ‘การพักผ่อน’ กลายเป็นความจำเป็น ไม่ใช่ความหรูหราอีกต่อไป” ออสมัน ย้ำ
ทอมป์สันยังกล่าวเสริมว่า ปัจจุบันคนทำงานต้องใช้ชีวิต “สองใบหน้า” ทั้งส่วนงานและส่วนตัว หลายคนพยายามบาลานซ์ชีวิตจนกลายเป็นภาระ ซึ่งเกิดผลลัพธ์คือ บางคนอาจตัดสินใจลาออกจากงานไปเลย เพราะรู้สึกว่าทำไปก็ไม่ไหว หรือไม่ก็ทำงานต่อไปแต่ประสิทธิภาพลดลงเรื่อย ๆ”
ความเหนื่อยล้า สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมทำงาน
อเล็กซ์ บีน (Alex Beene) ผู้สอนหลักสูตรการรู้เท่าทันทางการเงิน (Financial Literacy Instructor) จากมหาวิทยาลัยเทนเนสซี กล่าวกับ Newsweek ว่า “นี่เป็นเทรนด์ที่น่ากังวล เพราะสหรัฐฯ ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้วันลาพักร้อนน้อยที่สุดในโลก” เขาอธิบายอีกว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้คนจำนวนมากลังเลที่จะใช้วันลา
ขณะเดียวกัน การต้องจัดการทั้งภาระงานและชีวิตส่วนตัวอย่างหนักหน่วง
ทำให้คนจำนวนมาก ต้องใช้วันลาเพียงเพื่อได้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ มากกว่าจะไปพักผ่อนจริง ๆ
“สิ่งที่น่าห่วงคือ นี่สะท้อนสังคมที่ทำงานหนักเกินไป และสุดท้ายอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของแรงงานลดลงในระยะยาว” ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินกล่าว
อนาคตของการพักผ่อน “Staycation” จะกลายเป็นคำตอบใหม่
แม้จะมีแนวโน้มใช้วันลาเพื่อนอนพักมากขึ้น แต่ทอมป์สันมองว่า “วันหยุดพักร้อน” คงไม่หายไปจากวัฒนธรรมอเมริกัน เพียงแค่รูปแบบจะเปลี่ยนไป
“ผมได้ยินคนพูดบ่อยว่าต้อง ‘พักร้อนจากการพักร้อน’ เพราะกลับมาจากทริปแล้วเหนื่อยกว่าเดิม หลายคนรู้สึกว่าการไปเที่ยวกลายเป็นงานอีกอย่างที่ต้องวางแผน ต้องเดินทาง ต้องทำกิจกรรมตลอดเวลา จนไม่ได้พักจริงๆ” เขาบอก
ดังนั้น มันจึงนำมาซึ่งเทรนด์การพักผ่อนที่กำลังมาแรงอีกเทรนด์ นั่นก็คือ “Staycation” หมายถึง การใช้วันลาอยู่บ้านเพื่อพักผ่อน ฟื้นฟูร่างกาย และนอนให้เต็มอิ่ม แทนที่จะออกเดินทางไปไหนไกลๆ
โดยสรุปคือ คนทำงานเริ่มรู้สึกว่า "วันลาที่ไม่ได้นอน" คือ "วันลาที่เสียเปล่า" ในยุคที่การทำงานกินพื้นที่ชีวิตมากกว่าที่เคย ดังนั้น “วันลา” จึงกำลังกลายเป็นเครื่องช่วยชีวิต ไม่ใช่รางวัลของพนักงานอีกต่อไป และนั่นอาจเป็นสัญญาณว่า ระบบของโลกการทำงานยุคนี้ อาจกำลังวิกฤติและกำลังทำให้คนต้องลาพักเพียงเพื่อมีพลัง “อยู่รอด” ได้ต่อในวันถัดไป
อ้างอิง: Newsweek







