เข้าออฟฟิศได้แต่ไม่เหมือนเดิม พนักงานหาความยืดหยุ่น ไม่เอา 9-5

เข้าออฟฟิศได้แต่ไม่เหมือนเดิม พนักงานหาความยืดหยุ่น ไม่เอา 9-5

บริษัทบังคับให้กลับออฟฟิศ พนักงานทำตามได้ แต่หลบเลี่ยงการทำงานแบบ 9-5 เช่น แวะมาจิบกาแฟแล้วทำงานต่อที่บ้าน (Coffee Badging) หรือแบ่งเวลาทำงานสั้นๆ ตามจังหวะชีวิต

KEY

POINTS

  • พนักงานจำนวนมากต่อต้านนโยบายกลับเข้าออฟฟิศ (RTO) ด้วยการเลือกทำงานในรูปแบบที่ยืดหยุ่นตามเงื่อนไขของตนเอง ไม่ยึดติดกับกฎขององค์กร
  • เกิดวัฒนธรรมการทำงานแบบใหม่ เช่น "Coffee Badging" (เข้าออฟฟิศแค่เช็กชื่อ) และ "Micro-shifting" (ทำงานเป็นช่วงสั้นๆ ไม่ยึดติดกับเวลา 9-5) เพื่อสร้างสมดุลให้ชีวิต
  • บางบริษัทใช้นโยบาย RTO ที่เข้มงวดเป็นกลยุทธ์ทางอ้อมเพื่อลดจำนวนพนักงาน โดยหวังให้คนที่ไม่พอใจลาออกไปเอง แต่ก็เสี่ยงต่อการสูญเสียพนักงานที่มีทักษะสูง
  • ความต้องการตำแหน่งงานแบบ Remote และ Hybrid ยังคงมีอยู่สูง ทำให้บริษัทที่มอบความยืดหยุ่นสามารถดึงดูดคนเก่งได้มากกว่า

แม้บริษัทใหญ่ทั่วอเมริกาอย่าง Starbucks, Paramount และ Microsoft จะยังคงบังคับพนักงานให้กลับเข้าออฟฟิศ (Return-to-Office : RTO) เป็นหลัก แต่พนักงานจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะ “กลับไปทำงานในแบบของตัวเอง” และปรับรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับชีวิตมากกว่ากฎขององค์กร

พนักงานกลับเข้าออฟฟิศได้ แต่ทำในเงื่อนไขของตัวเอง

แม้บริษัทจำนวนมากจะออกนโยบายบังคับให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศไม่ว่าจะแบบเต็มเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ หรือเข้าออฟฟิศบางวันก็ตาม แต่ข้อมูลจาก นิก บลูม (Nick Bloom) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและหัวหน้าทีมวิจัย WFH Research ซึ่งสำรวจพนักงานอเมริกันกว่า 10,000 คน ระบุว่า

“อัตราการทำงานจากบ้านยังคงอยู่ที่ราว 25% ของเวลาทำงานทั้งหมด และแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2023” แม้ตลาดแรงงานเริ่มซบเซาและอำนาจการต่อรองกลับไปอยู่ในมือผู้บริหาร แต่คนทำงานกลับยังเลือกยึดความยืดหยุ่นไว้เต็มที่

บลูม เรียกสิ่งนี้ว่า “การต่อต้านแบบเงียบ (Passive Resistance)” เพราะแม้ผู้บริหารระดับสูงจะออกประกาศบังคับ RTO แต่ในความเป็นจริง “ผู้จัดการระดับกลาง” เองก็ไม่อยากทำตามกฎนี้เช่นกัน และแน่นอน พวกเขาไม่อยากบังคับลูกทีมให้ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ

เขาอธิบายว่า ผู้จัดการมักถูกวัดผลงานจาก “ประสิทธิภาพของทีม” ไม่ใช่ “จำนวนวันที่เข้ามาออฟฟิศ” ดังนั้นหากทีมยังทำผลงานได้ดี พวกเขาก็ไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องเข้มงวดเรื่องการเข้าออฟฟิศ นอกจากนี้ หลายองค์กรยังลดจำนวนผู้จัดการระดับกลางลง ส่งผลให้คนที่เหลืออยู่ต้องรับภาระมากขึ้น และ “การบังคับใช้กฎ RTO” กลายเป็นภาระที่ไม่มีใครอยากเพิ่ม

‘เข้าออฟฟิศแบบไม่เต็มวัน’ Coffee Badging กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่

อีกหนึ่งประเด็นคือ การวัดผลว่าพนักงานเข้ามาออฟฟิศครบตามจำนวนวันจริงหรือไม่ ซึ่งในทางปฏิบัติกลับตรวจสอบได้ยากมาก บลูม ยกตัวอย่างว่า บริษัทหนึ่งอาจกำหนดให้พนักงานเข้าออฟฟิศ 4 วันต่อสัปดาห์ แต่พนักงานส่วนใหญ่เข้ามาเพียง 3 วัน และเหตุผลอาจแตกต่างกันไป ตั้งแต่ประชุมกับลูกค้า ไปงานสัมมนา ลาป่วย หรือพักร้อน

บางองค์กรก็ “ผ่อนปรนให้โดยไม่พูดออกมา” เช่น บริษัทในกลุ่ม Fortune 100 แห่งหนึ่ง ที่กำหนดให้พนักงานต้องเข้ามาอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ แต่ในความเป็นจริงจะเริ่มแจ้งเตือนก็ต่อเมื่อพนักงานเข้ามาน้อยกว่า 1.5 วันต่อสัปดาห์ โดยฝ่าย HR อ้างว่าเวลาที่หายไปนั้นมาจากการเดินทางเพื่อติดต่องาน

นอกจากนี้ยังมีพนักงานที่เข้าออฟฟิศ “ครบวัน” ตามกฎ แต่ไม่ครบเวลา เทรนด์นี้เรียกว่า “Coffee Badging” หมายถึงการเข้าออฟฟิศเพียงไม่กี่ชั่วโมงเพื่อ “เช็กชื่อ” ดื่มกาแฟ ทักทายเพื่อนร่วมงาน แล้วกลับไปทำงานต่อที่บ้าน

จากผลสำรวจของ Owl Labs ที่เก็บข้อมูลจากพนักงานเต็มเวลาชาวอเมริกันกว่า 2,000 คน พบว่า 43% ของพนักงานแบบ Hybrid ยอมรับว่าทำ Coffee Badging เป็นประจำ และอีก 12% อยากลองทำดูสักครั้ง อีกทั้งในบรรดาคนที่ถูกจับได้มากกว่าครึ่งบอกว่า “หัวหน้าไม่ได้ว่าอะไร” แม้เทรนด์นี้จะลดลงจากปี 2023 แต่ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม

Micro-shifting ใช้เวลาทำงานสั้นลง แต่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม

คนทำงานรุ่นใหม่ไม่ได้แค่ “แวะมาเช็กชื่อ” เท่านั้น แต่ยังหาวิธีสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและงานผ่านแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “Micro-shifting” โดยคำนี้หมายถึงการทำงานเป็นช่วงสั้นๆ แบบไม่ต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นอีกต่อไป แต่แบ่งเวลาให้เหมาะกับพลังงานของตัวเอง งานบ้าน หรือภาระส่วนตัวในแต่ละช่วงของวัน

 

แฟรงก์ ไวเชาพท์ (Frank Weishaupt) ซีอีโอของ Owl Labs อธิบายว่า “ตอนนี้พนักงานกำลังหาความยืดหยุ่นทุกที่ที่พอจะหาได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Coffee Badging นัดหมอช่วงกลางวัน หรือทำงานแบบ Micro-shifting” ทั้งนี้ แม้ส่วนใหญ่ของพนักงาน Hybrid จะเข้ามาออฟฟิศ 3-4 วันต่อสัปดาห์ (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน) แต่พวกเขาก็ยังพยายามรักษาอิสระในการจัดการเวลาทำงานไว้เต็มที่

ผู้เชี่ยวชาญบางรายเชื่อว่า การบังคับกลับออฟฟิศอาจถูกใช้เป็น “กลยุทธ์ลดพนักงานทางอ้อม” บลูม กล่าวว่า “หลายบริษัทใช้ RTO เป็นวิธีลดจำนวนพนักงานราคาถูก โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเลย์ออฟ” เพราะเมื่อพนักงานไม่พอใจกับการถูกบังคับ พวกเขามักจะ “ลาออกเอง” และเปิดโอกาสให้บริษัทลดคนโดยไม่ต้องประกาศให้เสียภาพลักษณ์

แต่กลยุทธ์นี้ก็มีความเสี่ยง เพราะบริษัทไม่สามารถ “เลือกได้” ว่าคนที่ลาออกจะเป็นใคร โดยมีงานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก (University of Pittsburgh) พบว่า บริษัทที่บังคับนโยบาย RTO มักสูญเสียพนักงานหญิงและพนักงานที่มีทักษะสูงก่อนใคร

ตลาดงานยังต้องการจ้างงานแบบ “Remote และ Hybrid”

ในทางกลับกัน บริษัทขนาดเล็กหรือสตาร์ตอัปที่ยังให้ความยืดหยุ่นเต็มรูปแบบกลับได้เปรียบ เพราะสามารถดึงดูดคนเก่งจากองค์กรใหญ่ได้ แม้จะจ่ายเงินเดือนน้อยกว่า

นอกจากนี้ ข้อมูลจาก ZipRecruiter ยังระบุว่า ประมาณ 20% ของนายจ้างในสหรัฐฯ ยังคงต้องการจ้างพนักงานแบบ “Remote เต็มเวลา” อีกสัดส่วนใกล้เคียงกัน ก็นิยมเปิดรับสมัครคนทำงานแบบ “Hybrid” โดยนักเศรษฐศาสตร์ นิโคล บาร์โชด์ (Nicole Bachaud) จาก ZipRecruiter บอกว่า “ความต้องการตำแหน่งลักษณะนี้ยังมีอยู่ในตลาด แม้จะน้อยกว่าปีก่อน แต่ก็ยังเป็นจุดขายสำคัญในการหาคนเก่ง”

อย่างไรก็ตาม การกลับไปออฟฟิศไม่ใช่เรื่องผิด แต่การกลับ “โดยไม่ฟังเสียงคนทำงาน” อาจเป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ เพราะในวันที่บริษัทพยายามฟื้นวัฒนธรรมการทำงานแบบเดิม คนทำงานกลับสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาเอง

จาก Coffee Badging ที่บ่งบอกว่า “ฉันยังอยู่” ถึง Micro-shifting ที่ประกาศว่า “ฉันจะทำงานในแบบที่เหมาะกับชีวิตของฉัน” ในท้ายที่สุด ความยืดหยุ่นอาจไม่ใช่แค่ “สิทธิพิเศษ” ของคนทำงานยุคใหม่ แต่กลายเป็น เงื่อนไขสำคัญของความยั่งยืนในองค์กร

 

 

อ้างอิง: CNBCowllabs, wfhResearch