คนรุ่นใหม่โดน Youngism ในที่ทำงาน ตัดโอกาส แย่ยิ่งกว่า AI คุกคาม

คนรุ่นใหม่โดน Youngism ในที่ทำงาน ตัดโอกาส แย่ยิ่งกว่า AI คุกคาม

คนรุ่นใหม่ถูกมองว่าไม่พร้อมทำงาน ขี้เกียจ ไม่ตั้งใจ ทั้งที่ผลสำรวจเผย Gen Z ส่วนใหญ่พยายามพัฒนาทักษะ แต่ที่ทำงานบางแห่งมีพฤติกรรม Youngism เหยียดใส่ตั้งแต่ก้าวแรก

KEY

POINTS

  • Youngism การเหยียดอายุคนรุ่นใหม่ ภัยเงียบที่นายจ้างมักมองว่าคนรุ่นใหม่ขี้เกียจและไม่พร้อมทำงาน ส่งผลให้โอกาสการจ้างงานลดลง ซึ่งรุนแรงกว่าผลกระทบจาก AI
  • บริษัทต่างๆ ลดตำแหน่งงานระดับเริ่มต้น (Entry-Level) โดยเพิ่มคุณสมบัติให้ต้องมีประสบการณ์ 3-5 ปี ทำให้เด็กจบใหม่สูญเสียพื้นที่ในตลาดแรงงาน
  • ผลกระทบระยะยาวคือ การขาดแคลนแรงงานระดับกลางในอนาคต และส่งผลต่อชีวิตคนรุ่นใหม่ ทำให้ต้องเลื่อนการตัดสินใจซื้อบ้านหรือสร้างครอบครัวออกไป

การเหยียดอายุคนรุ่นใหม่ (Youngism) กำลังกลายเป็นภัยเงียบที่กัดกินโอกาสของคนรุ่นใหม่ในที่ทำงาน เร็วกว่าที่เทคโนโลยีอย่าง AI จะทำได้ และนี่อาจเป็นวิกฤติแรงงานครั้งใหม่ที่หลายคนไม่รู้ตัว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามได้ ขนาดประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) อย่าง "เจอโรม พาวเวลล์"  (Jerome Powell) ยังพูดถึงประเด็นนี้ หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อสองสัปดาห์ก่อนว่า “แม้เราจะเห็นผลกระทบบางอย่างจาก AI แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้คนรุ่นใหม่ได้รับผลกระทบ

คำพูดนี้สะท้อนสิ่งที่งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2022 เป็นต้นมา พนักงานระดับเริ่มต้นมีอัตราการจ้างงานลดลงถึง 16% เมื่อเทียบกับวัยทำงานกลุ่มอื่น แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกกว่านั้นคือ “Youngism” อคติทางอายุที่มองว่า แรงงานวัยหนุ่มสาวเป็นคนขี้เกียจ ไม่น่าไว้ใจ และไม่จงรักภักดีต่อองค์กร

 

ในขณะที่กฎหมายสหรัฐฯ อย่าง Age Discrimination in Employment Act ที่ทำหน้าที่ "ปกป้องสิทธิแรงงานจากการถูกเลือกปฏิบัติเรื่องอายุตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป" Gen Z กลับถูกทิ้งไว้ในช่องว่างทางกฎหมาย โดยไร้กลไกคุ้มครองใดๆ

ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นกำลังหายไป เพราะไม่มีใครอยากจ้าง Gen Z 

ข้อมูลจากการสำรวจพบว่า ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา เด็กจบใหม่วัยเริ่มต้นทำงานสูญเสียพื้นที่ในตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง และ เกือบครึ่งหนึ่ง (50%) ของนายจ้างบอกว่า ผู้สมัครวัยหนุ่มสาวยัง “ไม่พร้อมทำงานจริง”

ในขณะเดียวกัน มีถึง 93% ของคนรุ่นใหม่ที่บอกว่าเคยเผชิญการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเพราะอายุ และมากกว่า 1 ใน 4 รู้สึกท้อจนอยากเลิกทำงานไปเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “โครงสร้างงานระดับเริ่มต้น” ค่อยๆ หดหายลง เพราะบริษัทเพิ่มคุณสมบัติขั้นต่ำของงานให้ต้องมีประสบการณ์อย่างน้อย 3-5 ปี ขณะที่ตำแหน่งระดับฝึกหัดที่เคยเป็นบันไดก้าวแรก ของคนทำงานรุ่นใหม่กำลังหายไปจากระบบ

ผลกระทบระยะยาวคือ ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตลาดแรงงานจะขาดแคลนคนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาเป็นพนักงานระดับกลาง ทำให้บริษัทต้องใช้ต้นทุนสูงขึ้นในการหาคนใหม่ และเสียเวลาในการฝึกงานเพิ่มขึ้น โดยสมาคมทรัพยากรมนุษย์แห่งสหรัฐฯ (SHRM) ระบุว่า ต้นทุนเฉลี่ยต่อการจ้างหนึ่งตำแหน่งอยู่ที่ประมาณ 4,700 ดอลลาร์ และสูงกว่านั้นสำหรับตำแหน่งงานเฉพาะทาง

ไม่ใช่แค่งานสายเทคฯ แต่ตำแหน่งงานทุกวงการกำลังหดตัว

นอกเหนือจากอุตสาหกรรมภาคเทคโนโลยีแล้ว งานในวงการ การเงิน ประกันภัย ธุรกิจบริการ และสายอาชีพพนักงานออฟฟิศ (white-collar) อื่นๆ ก็เริ่มปิดประตูใส่ผู้สมัครที่ไม่มีประสบการณ์เช่นกัน งานวิจัยล่าสุดพบว่า ตำแหน่งงานระดับจูเนียร์ในสายการตลาด งานปฏิบัติการ และบริการลูกค้า กำลังลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดสองปีที่ผ่านมา

งานวิจัยร่วมของ NYU Stern School of Business และ The Wharton School ชี้ว่า บริษัทมีความรู้สึกเชิงลบต่อแรงงานวัยหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และกำลังแปรสภาพเป็นอคติในสถานที่ทำงานโดยตรง ยืนยันจากความเห็นของศาสตราจารย์ สเตฟาน ฟรานซิโอลี (Stéphane P. Francioli) หัวหน้าทีมวิจัย ที่ชี้ว่า “แรงงานวัยยี่สิบตอนต้นกำลังเผชิญกับหนี้สินสูง งานไม่มั่นคง และโอกาสซื้อบ้านลดลง และเมื่อ AI เข้ามา อาจยิ่งทำให้สถานการณ์เปราะบางกว่าเดิม”

ภาพจำว่า “คนรุ่นใหม่ขี้เกียจ ไม่อดทน และไม่ทุ่มเทอาจเป็นมายาคติที่สังคมสร้างขึ้นมานาน ทุกยุคสมัยมักมีคนบ่นว่า “เด็กสมัยนี้ไม่เหมือนเดิม” แต่ในความเป็นจริง Gen Z ต้องเจอสภาพเศรษฐกิจที่ยากกว่ารุ่นก่อนมาก ทั้งค่าครองชีพสูง ต้นทุนเริ่มต้นชีวิตหนัก และเส้นทางเติบโตในงานที่หายากขึ้น

โซเชียลมีเดียยังซ้ำเติมด้วยการขยายเสียงด้านลบ ทำให้ภาพลักษณ์ “เด็กขี้เกียจ” ดูแพร่หลายเกินจริง ทั้งที่ข้อมูลจาก Transamerica ระบุว่า 59% ของ Gen Z มีงานเสริม เพื่อสร้างรายได้หลายทาง และมุ่งพัฒนาทักษะตนเองอยู่เสมอ

AI ไม่ได้แย่งงาน แต่ระบบงานต่างหากที่กีดกัน Gen Z ออกไป

ผู้จัดการจำนวนมากใช้ AI เป็นข้ออ้างในการลดตำแหน่งระดับเริ่มต้น โดยเชื่อว่าเครื่องมืออัตโนมัติ สามารถทำงานพื้นฐานแทนได้ แต่ผลวิจัยจาก Burning Glass พบว่าความจริง AI เพียง “เร่ง” การเปลี่ยนแปลงขององค์กรที่มีปัญหาอยู่ก่อนหน้าเท่านั้น ไม่ได้เป็นตัวทำลายตำแหน่งงานโดยตรง

สิ่งที่ขาดไปคือ โอกาสในการเรียนรู้จากการทำงานจริง (on-the-job learning) เพราะถ้าคนรุ่นใหม่ไม่มีที่ให้เริ่มต้น ก็ไม่มีทางเติบโตเป็นมืออาชีพที่เข้าใจระบบการทำงานทั้งภาพรวมได้เลย

ผลกระทบที่ลึกกว่า “งาน” คือชีวิตในอนาคตของคนรุ่นใหม่ที่อาจไปต่อไม่ได้ เมื่ออคติทางอายุยังส่งผลถึงชีวิตส่วนตัว ยกตัวอย่างเคสของ “แอนนา” ครูผู้สอนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ขณะที่เธอทำงานช่วงปีแรกก็ต้องทำงานพาร์ตไทม์เสริม และมีหนี้การศึกษา บอกเขียนไว้ในหนังสือ Why Are We Here? Creating a Work Culture Everyone Wants ว่า “ประเด็นคือ แล้วจะทำงานหนักขนาดนี้ไปทำไมกัน? ฉันอาจจะอายุ 40 ก่อน ถึงจะซื้อบ้านได้…หรืออาจไม่มีวันนั้นเลยด้วยซ้ำ”

เมื่อคนรุ่นใหม่ต้องแบกรับภาระทางการเงิน และมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตน้อยลง พวกเขาก็มักเลื่อนการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตออกไป เช่น การซื้อบ้านหรือสร้างครอบครัว ส่งผลต่ออัตราการเกิดที่ลดลงทั่วโลก โดยในสหราชอาณาจักรเพิ่งรายงานว่าอัตราการเกิดปีล่าสุด ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์

แม้แต่โอกาสจากการฝึกงาน (Internship) ก็ลดลงเช่นกัน รายงาน NACE Internship and Co-op 2025 ระบุว่า อัตราการเสนองานเต็มเวลาให้กับเด็กฝึกงานลดเหลือเพียง 62% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบกว่า 5 ปี และอัตราการเปลี่ยนจากฝึกงานเป็นพนักงานจริงก็ลดลงเหลือแค่ 51%

4 วิธีฟื้นโอกาสให้คนรุ่นใหม่มีงานทำ-พัฒนาเส้นทางอาชีพ 

ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนวทางที่ไม่ต้องรอกฎหมายใหม่ หรือใช้งบประมาณมหาศาล ในการแก้ไขปัญหานี้  ได้แก่

1. องค์กรควรโพสต์ประกาศรับสมัคร "ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้น" จริงๆ โดยใช้เกณฑ์ตามทักษะ ไม่ใช่ต้องการประสบการณ์ที่เกินจริง

2. สร้างสะพานจากเด็กฝึกงานสู่พนักงานจริง พร้อมบอกอัตราการรับเข้าทำงานอย่างโปร่งใส

3. ขยายโอกาสฝึกงานแบบ Apprenticeship ในสายอาชีพใหม่ๆ เช่น Data Operations, Customer Success หรือ Revenue Operations

4. สนับสนุนแรงงานหน้าใหม่ให้ผ่านช่วงเริ่มต้นที่ยากที่สุด เช่น มีงบเดินทางพิเศษ โปรแกรมพี่เลี้ยง และบริการด้านสุขภาพจิต

เมื่อ “วัฒนธรรมองค์กร” คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยอัปพลังคนทำงาน หากองค์กรเปิดใจรับคนรุ่นใหม่ในฐานะ “ผู้ร่วมสร้างอนาคต” แทนที่จะมองเป็น “ความเสี่ยง” องค์กรจะได้รับผลดีทั้งด้านนวัตกรรม การเรียนรู้ และความยั่งยืน การผลักคนรุ่นใหม่ออกจากระบบไม่ได้ทำลายเพียงอาชีพ แต่ทำลายเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจในระยะยาวเช่นกัน

 

 

อ้างอิง: Fortune, Digitaleconomy.stanford, UKyouth.orgPNAS.org