เด็กจบใหม่ 2025 ได้งานตรงสายแค่ 30% เหตุสาขาที่จบไม่ตรงใจนายจ้าง

เด็กจบใหม่ได้งานตรงสายแค่ 30% เผชิญกับการหางานยากที่สุดในรอบ 5 ปี เหตุหลักสูตรในมหาวิทยาลัยไม่ตรงกับความต้องการนายจ้าง นักวิชาการชี้ AI ยิ่งเร่งให้แย่ลง
KEY
POINTS
- รายงานปี 2025 ระบุว่าบัณฑิตจบใหม่ได้งานตรงกับสาขาที่เรียนมาเพียง 30% และต้องเผชิญกับตลาดแรงงานระดับเริ่มต้นที่หางานยากที่สุดในรอบ 5 ปี
- สาเหตุหลักเกิดจาก ทักษะที่สอนในมหาวิทยาลัย ไม่ตรงกับความต้องการของนายจ้างในโลกการทำงานจริง หลักสูตรปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ทักษะที่จำเป็น
- ปัจจัยเร่งที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงคือ AI ที่เข้ามาแทนที่งานระดับเริ่มต้น ประกอบกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ทำให้บริษัทต่างๆ ลดการจ้างงาน
- บัณฑิตจำนวนมากรู้สึกว่าตนเองยังไม่พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงาน และต้องเลือกระหว่าง "ยอมทำงานไม่ตรงสาย" หรือ "เผชิญการว่างงานและหนี้การศึกษา"
วิกฤติงานหายากยังพุ่งต่อเนื่อง เด็กจบใหม่ปีนี้ “ตกงาน-ได้งานไม่ตรงสาย” มากที่สุดในรอบ 5 ปี โดยจากรายงานของ Cengage Group Graduate Employability Report 2025 เปิดเผยว่า มีเพียง 30% ของบัณฑิตจบใหม่เท่านั้น ที่ได้งานประจำตรงกับสาขาที่เรียนมา ส่วนอีกเกือบครึ่งหนึ่ง (50%) ของผู้สำเร็จการศึกษา ยอมรับว่ารู้สึก “ยังไม่พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงาน”
รายงานดังกล่าวอ้างอิงผลสำรวจจาก ผู้จัดการฝ่ายจ้างงานเต็มเวลา 865 คน, อาจารย์มหาวิทยาลัย 698 คน และ บัณฑิตจบใหม่ 971 คน พบว่า ตลาดแรงงานระดับเริ่มต้น (entry-level) ปี 2025 ถือว่า “หางานยากที่สุดในรอบ 5 ปี” และกำลังเผชิญ ช่องว่างระหว่างทักษะที่สอนในห้องเรียน กับทักษะที่นายจ้างต้องการจริงในที่ทำงาน
เรียนมาไม่ตรงกับสิ่งที่ตลาดต้องการ ปัญหาที่ลากยาวถึงอนาคต
ช่องว่างนี้ไม่เพียงทำให้เกิดปัญหาว่างงาน หรืองานต่ำระดับ Underemployment (หมายถึง ภาวะที่บุคคลมีงานทำ แต่เป็นงานที่ไม่เต็มเวลา หรือเป็นงานที่ต่ำกว่าระดับความรู้ความสามารถ) แต่ยังส่งผลกระทบต่อเส้นทางรายได้ การชำระหนี้กู้ยืมการศึกษา และการวางแผนกำลังคนในอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วย
ตัวเลขล่าสุดจากรายงานของ NBC News ระบุว่า อัตราว่างงานของบัณฑิตในช่วงกลางปี 2025 อยู่ที่ราว 5% ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ หลายคนต้องยอมทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับสาขาเรียน หรือชะลอเส้นทางอาชีพที่ตั้งใจไว้
เควิน ทอมป์สัน (Kevin Thompson) ซีอีโอของ 9i Capital Group ให้ความเห็นว่า “ตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วกว่าเดิมมาก คุณอาจเรียนเขียนโค้ดในปี 2021 แล้วจบในปี 2025 แต่พอออกมาทำงานจริงกลับพบว่างานเหล่านั้นไม่เป็นที่ต้องการแล้ว”
เขายังเสริมว่า ตลาดแรงงานที่เคยมีแรงงานหนาแน่น (tight labor market) ตอนนี้กลับ “เบาบางลง” เพราะ จำนวนแรงงานมีมากกว่าความต้องการของตลาด และเมื่อผสมกับผลกระทบจาก AI และระบบอัตโนมัติ งานระดับเริ่มต้นที่เคยมีมากมาย กลับหายไปอย่างรวดเร็ว
มหาวิทยาลัยสอนไม่ตรงกับโลกจริง นายจ้างอยากได้คนมีประสบการณ์
รายงาน Cengage ยังชี้ให้เห็นว่า ทั้งฝ่ายนายจ้างและอาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัย ต่างเห็นพ้องว่า หลักสูตรการศึกษายังไม่ตอบโจทย์ทักษะเฉพาะทางและทักษะเทคนิค ที่ตลาดต้องการจริง
ไบรอัน ดริสคอลล์ (Bryan Driscoll) ที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล หรือ HR อธิบายว่า “เด็กจบใหม่ส่วนใหญ่ติดกับดักการทำงานถึงสองชั้น คือ ปริญญาที่ไม่ตรงกับตลาด และตลาดแรงงานที่หดตัวลง เพราะองค์กรตัดลดต้นทุน นายจ้างอยากได้คนมีประสบการณ์ ทั้งที่เด็กเพิ่งจบและยังไม่มีโอกาสสั่งสมประสบการณ์เลย ส่วนมหาวิทยาลัยก็ยังผลิตบัณฑิตโดยไม่มีเส้นทางสู่งานที่มั่นคง”
ขณะที่ อเล็กซ์ บีน (Alex Beene) นักวิชาการด้านความรู้ทางการเงินจากมหาวิทยาลัยเทนเนสซี มาร์ติน (University of Tennessee at Martin) ให้มุมมองเชิงวิเคราะห์ว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กจบใหม่หางานยากที่สุดในรอบหลายปี ปัจจัยหลักมาจากสองอย่างคือ ‘AI’ และ ‘ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ’
เขาอธิบายต่อว่า เทคโนโลยี AI ได้เข้ามาแทนที่งานระดับเริ่มต้นจำนวนมาก เพราะนายจ้างมองว่าหากระบบอัตโนมัติสามารถทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพกว่า ก็ไม่จำเป็นต้องจ้างคนเพิ่ม
ทอมป์สันเสริมว่า แนวโน้มนี้อาจส่งผลให้ ค่าจ้างชะลอตัว และอัตราการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย 4 ปีเริ่มลดลง ส่วนค่าเล่าเรียนอาจปรับตัวลงตามในระยะยาว หากรัฐบาลลดการอุดหนุนที่ทำให้ต้นทุนการศึกษายังคงสูง
ภาวะตกงานเป็นเรื่องปกติไปแล้ว! ในอนาคตบริษัทยังปลดพนักงานต่อ?
ดริสคอลล์ชี้ว่า ปรากฏการณ์ “ตกงาน-ฝึกงานฟรี” ถูกทำให้เป็นเรื่องปกติในสังคม เขามองว่า “เราทำให้การทำงานต่ำระดับและการฝึกงานที่ไม่ได้ค่าจ้างกลายเป็นพิธีผ่านทางของชีวิต ซึ่งจริงๆ แล้วมันตอกย้ำความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากขึ้น”
ไม่เพียงเท่านั้นเขาเตือนว่า เรื่องนี้มีผลกระทบระยะยาว นั่นคือ คนรุ่นใหม่จำนวนมากติดหนี้กู้ยืมการศึกษา อยู่ในงานค่าจ้างต่ำ และเลื่อนเป้าหมายชีวิต (เช่น การซื้อบ้านหรือการมีครอบครัว) ออกไปก่อน ซึ่งอาจส่งผลต่อทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางสังคม
ทอมป์สันทิ้งท้ายว่า ตลาดแรงงานจะยังเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร “ช่วงนี้อาจเป็นช่วงเบางบาง แต่ในอนาคตก็จะกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง” อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่า ช่วงปีนี้และปีหน้าหลายๆ บริษัท จะยังปลดคนออกต่อไป เพื่อรักษากำไร
“ถ้าลดคนทำงานให้น้อยลง แต่ยังได้ผลลัพธ์การทำงานเท่าเดิม พวกเขาก็จะทำทำวิธีนั้น เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกองค์กรต้องตอบโจทย์ผู้ถือหุ้นก่อนเป็นอันดับแรก”
เมื่อโลกการทำงานเปลี่ยนเร็วกว่าแผนการเรียนในมหาวิทยาลัย คำถามใหญ่ที่สังคมต้องหาคำตอบอาจไม่ใช่เพียงว่า “เด็กจบใหม่พร้อมหรือยัง” แต่คือ “ระบบการศึกษาพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไหม” เพื่อไม่ให้คนรุ่นใหม่ต้องเรียนจบออกมาแล้วพบว่าโลกที่รออยู่…ไม่มีที่ให้ยืนอีกต่อไป
อ้างอิง: Newsweek







