ดื่มกาแฟแทนเหล้า เทรนด์ Coffee Rave คนรุ่นใหม่อยากสนุกแบบไม่เมา

ดื่มกาแฟแทนเหล้า เทรนด์ Coffee Rave คนรุ่นใหม่อยากสนุกแบบไม่เมา

เทรนด์ Coffee Rave ปาร์ตี้สังสรรค์แนวใหม่สไตล์ Gen Z ดื่มกาแฟแทนเหล้าเบียร์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สายสุขภาพ อยากสนุก อยากเข้าสังคม แต่ไม่อยากเมาค้างหรืออดนอน

KEY

POINTS

  • Coffee Rave คือ เทรนด์การปาร์ตี้สังสรรค์รูปแบบใหม่ ถูกนิยามขึ้นมาโดยคนรุ่นใหม่ ที่เปลี่ยนจากการดื่มแอลกอฮอล์ในตอนกลางคืน มาเป็นการดื่มกาแฟและเต้นรำในช่วงกลางวัน
  • ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจสุขภาพและต้องการความสนุกอย่างมีสติ (Sober-Curious) ทำให้สามารถเข้าสังคมได้โดยไม่ต้องเมาค้างหรืออดนอน
  • เทรนด์นี้มีต้นกำเนิดจากฮ่องกงและกำลังแพร่หลายไปทั่วเอเชีย รวมถึงกรุงเทพฯ โดยมีจุดเด่นคือการจัดงานในสถานที่ที่ไม่ใช่ผับ เช่น คาเฟ่  พร้อมธีมการแต่งตัว และแนวดนตรีหลากหลาย

ใครจำกัดความว่าการออกไปปาร์ตี้ต้องไปแค่กลางคืน และต้องดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้นถึงจะสนุก? นี่อาจไม่ใช่คำนิยามที่ใช้ได้กับทุกปาร์ตี้เสมอไป เมื่อเทรนด์การเข้าสังคมรูปแบบใหม่อย่าง "Coffee Rave" กำลังฉีกขนบปาร์ตี้แบบดั้งเดิม ด้วยการดื่มกาแฟแทนดื่มเหล้าเบียร์ และไปแดนซ์กระจายกันสุดมันส์ช่วงกลางวันแสกๆ ช่วงบ่ายวันอาทิตย์ ไม่ต้องเที่ยวดึกดื่นจนอดนอนอีกต่อไป

โดยเฉพาะในยุคที่คำว่า “เฮลธ์ตี้” ไม่ได้หมายถึงแค่การไปเข้ายิมหรือกินอาหารคลีน แต่ยังขยายความไปถึงวิธีการใช้ชีวิตทุกด้าน วัยทำงานคนรุ่นใหม่ในเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials กำลังนิยามความหมายของคำว่า “ปาร์ตี้” กันใหม่ ภายใต้กระแส Sober-Curious Movement หรือกลุ่มผู้คนที่อยากรู้อยากเห็น และอยากมีประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบไม่ต้องพึ่งพาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นี่คือคลื่นลูกใหม่ของวงการไนท์ไลฟ์ ที่พาให้กลิ่นหอมๆ ของกาแฟ และบีตส์ดนตรีสนุกๆ ของดีเจ กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ความมันส์แบบมีสติ”

Coffee Rave เริ่มดื่มบ่ายสี่โมง ปาร์ตี้จบค่ำๆ ไม่ต้องอดนอน!

หนึ่งในปรากฏการณ์ที่เติบโตเร็วที่สุดตามแนวคิด Sober-Curious Movement ก็คือ “Coffee Rave” หรือเรียกอีกชื่อว่า “Cafe Clubbing” และ “Soft Clubbing” กิจกรรมนี้เป็นปาร์ตี้รูปแบบใหม่ที่รวมพลคนรักกาแฟ ดนตรี และบรรยากาศสนุกๆ เข้าด้วยกันในยามบ่าย โดยไม่ต้องดื่มเหล้าเบียร์สักหยด

แนวคิดของ Coffee Rave ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองที่อยากสนุก แต่ไม่อยากทรมานกับอาการแฮงค์ในวันทำงานวันถัดไป ปาร์ตี้เหล่านี้จัดขึ้นในช่วงบ่ายถึงค่ำมักเริ่มประมาณบ่ายสามและจบก่อนสี่ทุ่ม และจัดในสถานที่ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะกลายเป็นฟลอร์เต้นรำได้ เช่น คาเฟ่ ร้านไอศกรีม หรือแม้แต่ในพิพิธภัณฑ์

แต่ละงานไม่ได้มีเพียงกาแฟเท่านั้น แม้ชื่อจะบ่งบอกอย่างนั้นก็ตาม เพราะแก่นแท้ของเทรนด์นี้คือ “alcohol-optional” หรือ “ไม่บังคับให้ดื่มแอลกอฮอล์” ใครอยากจิบแค่ลาเต้ร้อน หรือจะขอแก้วค็อกเทลสูตรไม่มีแอลกอฮอล์ก็ได้หมด เป้าหมายคือให้ทุกคนได้ปลดปล่อย สนุก และเชื่อมต่อกันได้โดยไม่ต้องเมาขาดสติ

จุดกำเนิดจากฮ่องกง Social Club Series เปลี่ยนร้านกาแฟเป็นคลับกลางวัน

เทรนด์นี้ถูกผลักดันให้กลายเป็นวัฒนธรรมจริงจังจากฮ่องกง ผ่านแบรนด์ Social Club Series ที่ก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคมโดยคนรุ่นใหม่ 2 คนในวงการดนตรีอย่าง ไอแซก วู ซีอู-ฮิน (Isaac Woo Siu-hin) ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอ และ แซนดี้ แลม ซิน-ยี (Sandy Lam Sin-yi) ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มจำหน่ายตั๋วดนตรี “Riffs”

ทั้งคู่เคยเป็นสายปาร์ตี้สุดจัด เรียกว่าทุกคืนต้องได้ออกเที่ยวและแทบไม่พลาดคลับไหนในเมือง แต่ความเหนื่อยล้าจากการต้องกลับบ้านตอนตีสี่ และเกิดอาการเมาค้าง (Hanngover) ในวันรุ่งขึ้น ทำให้พวกเขาเริ่มตั้งคำถามว่า “จะมีไหม ปาร์ตี้ที่สนุกได้โดยไม่ต้องเมา?”

และคำตอบคือ Social Club Series ที่จัดงานปาร์ตี้ตอนบ่ายให้คนมาสนุก เต้น ดื่มกาแฟ แล้วกลับบ้านไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนหรือครอบครัวต่อได้ แบบไม่ต้องทรมานร่างกาย

“ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เราไปคลับ เราจะเมามากจนทำอะไรไม่ได้เลยในวันรุ่งขึ้น แต่การจัดงานปาร์ตี้ช่วงบ่ายช่วยให้เราใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ สนุกได้ และยังดูแลสุขภาพไปพร้อมกัน” ทั้งสองคนอธิบายเพิ่มเติม

Coffee Rave ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ แต่แตกต่างด้วยธีมชุดและเพลง

แนวทางของ Social Club Series คือการจัดปาร์ตี้แบบป๊อปอัป (Pop-up) ที่ย้ายสถานที่ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ประสบการณ์ใหม่ทุกครั้ง โดยมีองค์ประกอบเด่น 3 อย่างคือ

1. ความลึกลับ: สถานที่จัดงานจะเปิดเผยเฉพาะผู้ที่ซื้อตั๋วเท่านั้น เพิ่มความตื่นเต้นให้คนอยากค้นหา

2. ธีมแต่งกาย: ทุกงานจะมีธีม เช่น “Sporty” ให้ใส่ชุดเทนนิส หรือ “All White” ที่ทุกคนสวมชุดสีขาว

3. แนวดนตรีเฉพาะงาน: แต่ละครั้งจะเลือกแนวเพลงต่างกัน เช่น House, UK Garage หรือ Baile Funk

งานแรกจัดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2025 ที่ร้านกาแฟ Islet Coffee Lab ใจกลางย่าน Central ของฮ่องกง ภาพและวิดีโอจากงานนั้นกลายเป็นไวรัลทันที มียอดชมกว่า 159,000 ครั้ง บน Instagram และทำให้เพจ Social Club Series มีผู้ติดตามทะลุ 5,000 คน ภายในเวลาไม่นาน

ความสำเร็จของกิจกรรมดังกล่าว สามารถวัดได้จริงเป็นตัวเลขที่เห็นชัดเจน ได้แก่ ตั๋ว 70% ขายหมดภายใน 30 นาทีแรก และตั๋วทั้งหมดขายหมดภายใน 24 ชั่วโมง ขณะที่ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน อายุราวๆ 20-30 ปี (กลุ่ม Gen Z ) เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีแขกวัย 50 ปีเข้าร่วมด้วย

ความนิยมนี้ไม่เพียงสะท้อนว่า Coffee Rave เป็นเทรนด์ แต่ยังพิสูจน์ว่าคนรุ่นใหม่เริ่ม “เลือกวิถีความสนุก” แบบที่ไม่ทำร้ายตัวเอง โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Social Club Series ได้ยกระดับงานเป็นมินิเฟสติวัลที่ใหญ่ที่สุด โดยเปลี่ยนร้านพิซซ่า Peak Pizza และร้านไอศกรีมชื่อดัง Messina ใน Peak Galleria ให้กลายเป็นพื้นที่สองเวที รองรับผู้เข้าร่วมได้ถึง 300 คน

งานนี้เป็นความร่วมมือกับ Black Sheep Restaurants และมีดีเจจากหลายประเทศในเอเชีย ทั้งไทยและฟิลิปปินส์ โดยยังคงเน้นให้โอกาสดีเจท้องถิ่น ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสให้ศิลปินหน้าใหม่ได้แสดงผลงาน ทั้งนี้ แซนดี้ แลม ซิน-ยี มองว่า การจัดงานในร้านอาหารช่วงบ่ายยังช่วยให้ร้านที่เงียบในเวลานั้น กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เป็นโมเดลธุรกิจที่ทั้ง “คนจัด-ร้านค้า-คนเที่ยว” ต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน

Coffee Rave ระเบิดปาร์ตี้ทั่วเอเชีย ปักหมุดที่ไหนไปแล้วบ้าง?

กระแสนี้กำลังแพร่ขยายไปทั่วภูมิภาคเอเชีย และถูกตีความให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละเมือง และถูกจัดงานขึ้นมาแล้วในหลากหลายประเทศ ได้แก่

1. กรุงเทพฯ: Morning Affair และ Before Midnight

Morning Affair จัดโดย Rise Coffee และ Tictactoe Bar เน้นบรรยากาศอบอุ่นแต่คึกคักด้วยเซ็ตดีเจแนว Groovy และเมนูกาแฟสุดครีเอต เช่น เอสเย็น (เมนูกาแฟแบบไทยๆ) หรือใครที่เป็นสายเข้มอาจเลือกเมนู "กาแฟผสมวอดก้าเล็กน้อย" ก็มีบริการ พร้อมอาหารรองท้องอย่างครัวซองต์เนย และผัดกะเพราเนื้อวากิว

อีกงานที่สร้างชื่อก็คือ Before Midnight ปาร์ตี้ตามธีมที่ผสานความคิดสร้างสรรค์เข้ากับดนตรีและคาเฟอีน เช่น “Pawffee Rave” งานที่เปิดให้เจ้าของพาสัตว์เลี้ยงมาร่วมสนุกในคาเฟ่สุด Pet-friendly พร้อมโซนสวน สนาม และสระน้ำสำหรับสุนัขโดยเฉพาะ

2. สิงคโปร์: Beans & Beats

ก่อตั้งในเดือนพฤษภาคม 2024 จากการรวมตัวของเพื่อนสามคนที่อยากสร้างพื้นที่ฟังเพลงใต้ดินโดยไม่ต้องดื่มเหล้า ปัจจุบันกลายเป็นงานประจำที่จัดในสถานที่ไม่คาดฝัน เช่น ดาดฟ้า ร้านวินเทจ หรือพิพิธภัณฑ์ พร้อมเสิร์ฟกาแฟพิเศษจากเมล็ดรางวัลระดับโลก

3. โซล: Paccha Coffee Party

คลับในกรุงโซลที่ชื่อ Blend Nexus Agency เน้นการสร้างชุมชนของคนรักกาแฟและเสียงดนตรี ปาร์ตี้แรกประสบความสำเร็จอย่างมาก มีแขกรับเชิญชื่อดังอย่าง เยอ จิน-กู (Yeo Jin-goo) และดีเจระดับโลกชาวเดนมาร์ก Morten มาร่วมสร้างบรรยากาศด้วยแนวเพลง Afro-house และ Melodic Techno

หากปาร์ตี้รูปแบบนี้ยังขยายตัวต่อเนื่อง ก็อาจพูดได้ว่า Coffee Rave จะไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือการเปลี่ยน “วัฒนธรรมการสังสรรค์” ครั้งใหญ่ของคนรุ่นใหม่ ที่พวกเขาเลือกจะสนุกอย่างมีสติ สร้างความสัมพันธ์โดยไม่ต้องอาศัยเหล้าเบียร์ และใช้เวลาช่วงบ่ายแทนเวลาตอนดึกๆ ให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งพลังและความสร้างสรรค์

เพราะในยุคนี้การออกเที่ยวหรือไปปาร์ตี้ อาจไม่ใช่กิจกรรมช่วงกลางคืนดึกดื่นอีกต่อไป แต่ถูกตีความใหม่ เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ ไปพร้อมรอยยิ้มและจังหวะเพลงที่เต้นอยู่ในใจ ใครๆ ก็สามารถสนุกได้โดยไม่ต้องเมาค้าง อดนอน จนเสียสุขภาพ

 

อ้างอิง: SCMP, TatlerAsiaPhilstar