พนักงานติดเล่น ยิงมุกตลกผิดจังหวะ ระวัง! เจอหายนะในที่ทำงาน

แม้อารมณ์ขันช่วยให้บรรยากาศในที่ทำงานดีขึ้น แต่ถ้าเล่นมุกตลกผิดจังหวะ จะเป็นหายนะ ทำลายความน่าเชื่อถือ วิจัยชี้ ยิงมุก ติดเล่นในออฟฟิศมากไป อาจเสียโอกาสก้าวหน้า
KEY
POINTS
- การเล่นมุกตลกในที่ทำงานมีความเสี่ยงสูง หากมุกไม่ขำหรือผิดจังหวะอาจทำลายภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะหัวหน้างาน อาจต้องระวังการยิงมุกตลกแต่กลายเป็นมุกฝืดในที่ทำงาน
- อารมณ์ขันที่ได้ผลต้องเกิดจาก มุกตลกที่ผู้ฟังยังรู้สึกโอเค ซึ่งเป็นเรื่องยากในออฟฟิศที่มีความหลากหลาย และอาจล้ำเส้นผู้อื่นได้ง่าย จุดนี้จึงต้องระวังมาก
- ผู้หญิงมักถูกตัดสินรุนแรงกว่าผู้ชายเมื่อเล่นมุกที่ไม่เหมาะสม และหัวหน้าที่พยายามตลกแต่ไม่สำเร็จอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาลูกทีม
- คำแนะนำคือให้ "คิดแบบคนตลก" เพื่อสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ และท้าทายกรอบความคิดเดิม แทนที่จะ "พยายามแสดงตลก" หรือยิงมุกใส่เพื่อนร่วมงาน
ในโลกการทำงาน หลายคนเชื่อว่าความขี้เล่นหรือการมีอารมณ์ขัน คือเครื่องมือชั้นดีที่จะช่วยให้ดูน่าคบ ลดความตึงเครียดในทีม และอาจทำให้คุณเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานมากขึ้น แต่จากงานวิจัยของคณาจารย์ด้านการตลาดและการจัดการ พบว่าการ “พยายามทำให้ตลก” ในที่ทำงานนั้นไม่ง่าย และความเสี่ยงจากมุกที่ไม่ขำอาจใหญ่กว่าผลดีที่ได้จากเสียงหัวเราะเสียอีก
ปีเตอร์ แมคกรอว์ (Peter McGraw) ศาสตราจารย์ด้านการตลาดและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโคโลราโด โบลเดอร์, อดัม บาร์สกี (Adam Barsky) รองศาสตราจารย์ด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และ แคเลบ วอร์เรน (Caleb Warren) ศาสตราจารย์ด้านการตลาด มหาวิทยาลัยแอริโซนา พวกเขาอธิบายว่า “อารมณ์ขันที่ดี” ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องปล่อยมุกตลกในทุกการประชุม แต่ควร “คิดแบบคนตลก” แทนการ “แสดงตลก” จริงๆ
“ยิงมุกตลก แต่ไม่เข้าเป้า” ทำลายภาพลักษณ์คนทำงานมากกว่าที่คิด
ทีมวิจัยได้อธิบายแนวคิด “ทฤษฎีการละเมิดอย่างอ่อนโยน” (Benign Violation Theory) ซึ่งใช้เพื่ออธิบายว่าทำไมการเล่นมุกบางอย่างถึงตลกได้ และทำไมบางอย่างถึงไม่ควรเอามาเล่นเป็นมุกตลก
นักวิจัยชี้ว่า อารมณ์ขันจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อสิ่งนั้น “ผิด แต่ก็รู้สึกโอเค” ทั้งสองอย่างต้องเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน แต่ถ้ามีแค่ “รู้สึกโอเค” ไม่มีสิ่งที่ผิดปกติ การเล่นมุกตลกนั้นก็จะดูจืดทันที ขณะที่ ถ้ามีแต่ “สิ่งผิดปกติ” โดยผู้ฟังไม่ได้รู้สึกโอเค นั่นก็อาจกลายเป็นการล้ำเส้นได้
ในบาร์ตลก การยิงมุกฝืดๆ ออกไปให้ผู้ชมก็ว่าแย่แล้ว แต่ลองคิดดูว่า หากมุกตลกฝืดเหล่านั้นดันมาเกิดขึ้นในออฟฟิศที่เต็มไปด้วยผู้คนต่างวัฒนธรรม ต่างเพศ และตำแหน่งแตกต่างกันไป มันก็ยิ่งยากที่จะรู้ว่าอะไร “โอเค” หรือ “ไม่โอเค” สำหรับแต่ละคน พูดง่ายๆ ว่า มุกที่ขำสำหรับบางคน อาจกลายเป็นมุกที่แรงเกินรับไหวสำหรับอีกคน
เรื่องนี้ยืนยันด้วยข้อมูลงานวิจัยข้างต้น โดยนักวิจัยได้ทำการทดลองที่ให้กลุ่มนักศึกษาธุรกิจเขียนคำบรรยายตลกให้ภาพหนึ่ง ปรากฏว่าคำบรรยายที่ตลกที่สุดในสายตากรรมการ กลับเป็นคำที่ “ล้ำเส้น” มากที่สุดเช่นกัน
โดยเฉพาะผู้หญิงในที่ทำงาน มักต้องเผชิญแรงกดดันมากกว่าผู้ชาย หากมุกของพวกเธอถูกมองว่าหยาบคายหรือไม่เหมาะสม เพราะงานวิจัยจำนวนมากพบว่า "ผู้หญิง" มักถูกตัดสินรุนแรงกว่า "ผู้ชาย" ในพฤติกรรมที่ผิดคาด เช่น การแสดงอารมณ์ การพูดเสียงดัง หรือแม้แต่การต่อรองผลประโยชน์
หัวหน้าพยายามตลก แต่คนอื่นไม่ขำ อาจทำเสียเครดิตทั้งทีม
การวิจัยอีกชุดหนึ่งระบุว่า ผู้จัดการที่ใช้อารมณ์ขันได้ดี มักถูกมองว่ามั่นใจและมีความสามารถมากขึ้น แต่ถ้าหัวหน้าที่ขยันยิงมุกแป๊กตลอด (ยิงไม่เข้าเป้า) ความน่าเชื่อถือของเขาหรือเธอก็อาจหายไปแทบจะทันที ผลวิจัยชี้ชัดว่า การเล่นมุกผิดจังหวะอาจทำให้ลูกน้องหมดศรัทธา ไม่อยากขอคำแนะนำ หรือไม่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของหัวหน้าอีกเลย
แม้แต่มุกที่ดูเหมือน “ได้ผล” ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะจากการทดลองในกลุ่มนักศึกษาการตลาด กลุ่มที่ถูกสั่งให้เขียนโฆษณาแบบ “ตลก” ผลออกมาว่าขำจริง แต่ขายของไม่ได้ผลเท่ากลุ่มที่ถูกสั่งให้เขียนแบบ “สร้างสรรค์” หรือ “โน้มน้าวใจ”
ที่แย่กว่านั้นคือ หัวหน้าที่ชอบยิงมุกบ่อยเกินไปอาจทำให้พนักงานรู้สึกต้อง “แกล้งหัวเราะ” จนหมดพลังและนำไปสู่ความเหนื่อยหน่ายในการทำงาน (burnout) ในขณะที่ หากพนักงานผู้หญิงใช้มุกตลกในที่ประชุมบ่อยๆ ก็มักถูกมองว่ามีความสามารถน้อยกว่าผู้ชาย ทั้งที่พูดเรื่องเดียวกัน
ปรับมุมมองใหม่ ลองคิดแบบนักแสดงตลก แต่ “อย่าพยายามเล่นตลก”
คำแนะนำจากนักวิจัยทั้งสามคนข้างต้น คือ “อย่าพยายามทำตัวเองให้เป็นคนตลก” แต่ให้ “คิดแบบคนตลก” แทน โดย เดวิด โอกิลวี (David Ogilvy) ตำนานวงการโฆษณาเคยพูดไว้ว่า “ไอเดียที่ดีที่สุดมักเกิดจากมุกตลก” ซึ่งหมายถึงการ “คิดนอกกรอบ” ไม่ใช่ยิงมุกใส่เพื่อนร่วมงาน
ยกตัวอย่างเช่น แคมเปญโฆษณาของ Patagonia ที่ใช้คำว่า “Don’t Buy This Jacket” (อย่าซื้อเสื้อตัวนี้) ในวันแบล็กฟรายเดย์ปี 2011 ผลลัพธ์ คือ ยอดขายกลับพุ่งพรวด เพราะเล่นกับความคาดหวังของผู้บริโภคได้อย่างเฉียบแหลม
หลักคิดนี้ใช้ได้ในที่ทำงานเช่นกัน ลองตั้งคำถามกับสมมติฐานเดิมๆ ของทีม เช่น “ถ้าการเพิ่มฟีเจอร์ไม่ได้ทำให้สินค้าดีขึ้นล่ะ?” หรือ “ถ้าการประชุมน้อยลงทำให้ประสานงานได้ดีขึ้น?” การพลิกมุมคิดแบบนี้ คืออารมณ์ขันในระดับความคิดสร้างสรรค์ที่แท้จริง
นอกจากนี้ นักวิจัยยังได้ยกตัวอย่างนักพูดคอมเมดี้อย่าง บิล เบอร์ (Bill Burr) ที่รู้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนจะขำในมุกของเขา แต่เขาเลือกจะยืนในจุดที่ชัดเจนแทนการเอาใจทุกคน
ในโลกธุรกิจก็เช่นกัน แบรนด์ที่กล้าเลือกกลุ่มเป้าหมายชัดเจน มักประสบความสำเร็จกว่า เช่น แคมเปญ “Honestly, it’s not for everyone” (พูดตรงๆ มันไม่ได้เหมาะกับทุกคน) ของการท่องเที่ยวรัฐเนบราสกา ที่ทำให้ยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นกว่า 43%
อย่ามัวสร้างบรรยากาศด้วย "มุกตลก" แต่ควรเน้นการคิดร่วมกันในทีม
แม้การแสดงตลกจะดูเหมือนการแสดงเดี่ยว แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังเต็มไปด้วยการร่วมมือและฟังเสียงคนอื่น เช่นเดียวกับการทำงานในทีม งานจะออกมาดีและประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่การฉายเดี่ยวของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือการช่วยกันคิดช่วยกันทำงานทั้งทีม
บิลลี่ เมอร์ริตต์ (Billy Merritt) ครูสอนด้านอิมโพรไวซ์ อธิบายว่า การที่ทีมใดทีมหนึ่งจะทำงานได้ดี มักจะคนในทีมที่แบ่งหน้าที่ออกเป็น 3 แบบ ได้แก่
1. Pirates (โจรสลัด) กล้าเสี่ยง คิดนอกกรอบ
2. Robots (หุ่นยนต์) สร้างระบบและโครงสร้าง
3. Ninjas (นินจา) ผสมผสานทั้งสองอย่าง
ทีมที่ดีต้องมีคนทำงานทั้งสามประเภท เพื่อให้ได้ไอเดียที่กล้าคิด กล้าทำ และไม่ตกหล่นในรายละเอียด
เอาเป็นว่า หากอยากทำงานออกมาได้ดีและมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องเป็นคนตลกเสมอไปก็ได้ แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่ “การคิดไอเดียที่แตกต่างด้วยความสนุกสนาน” เพียงใช้มุมมองที่พลิกแพลง กล้าท้าทายสมมติฐานเดิม และร่วมมือกับทีมอย่างสร้างสรรค์ คุณก็จะโดดเด่นในสายงานได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงกลายเป็นคนมุกฝืดประจำออฟฟิศแบบไม่รู้ตัว
อ้างอิง: Fortune, The Conversation, Sciencedirect







