พนักงาน 58% ยังไม่ปรับตัวใช้ AI ทำงาน แต่องค์กร 74% จะยิ่งใช้ AI พุ่ง

องค์กรขนาดใหญ่ 74% จะนำ AI มาใช้อย่างจริงจังภายในปี 2027 สวนทางกับพนักงาน 58% ที่ยังไม่ปรับตัวใช้ AI ผู้เชี่ยวชาญ HR แนะ พนักงานต้องปรับตัว อย่ามอง AI เป็นศัตรู
KEY
POINTS
- องค์กรขนาดใหญ่ 74% จะนำ AI มาใช้อย่างจริงจังภายในปี 2027 สวนทางกับพนักงาน 58% ที่ยังไม่ปรับตัวใช้ AI ในการทำงาน
- ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า "ตำแหน่งงานหน้าเดียว" หรืองานที่ทำซ้ำๆ เช่น งานธุรการ และ Call Center มีความเสี่ยงสูงที่จะถูก AI เข้ามาแทนที่
- พนักงานต้องปรับตัวโดยมอง AI เป็นเครื่องมือ (ไม่ใช่ศัตรู) เปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้ทำ" เป็น "ผู้ควบคุม" และพัฒนาทักษะความเป็นมนุษย์ที่ AI ทำไม่ได้
- ทางรอดของคนทำงานคือการเร่ง Upskill/Reskill พัฒนาทักษะความยืดหยุ่นและการปรับตัว เพื่อให้สามารถทำงานในส่วนที่ซับซ้อนและควบคุม AI ได้
กูรูด้านการทำงานเผย 42% ขององค์กรยักษ์ใหญ่ทั่วโลกนำ AI มาใช้ในออฟฟิศแล้วอย่างจริงจัง และตัวเลขนี้จะพุ่งทะยานสู่ 74% ภายในปี 2027 ซึ่งพุ่งสูงกว่าเดิมมาก คำถามสำคัญของวัยทำงานในยุคนี้คือ คุณอยู่ในกลุ่ม 'ผู้อยู่รอด' หรือ 'ผู้ตกขบวน' ?
ในงานเสวนาครั้งสำคัญบนเวที AI Ready Era ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมงาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 (SX 2025) ผู้เชี่ยวชาญด้าน HR และ CEO ชั้นนำ ฟันธงว่า "ตำแหน่งงานแบบหน้าเดียว" จะหายไป 7% ภายในปี 2026 พร้อมเผย 3 ทักษะ 'ความเป็นมนุษย์' ที่เครื่องจักรทำไม่ได้ เพื่อเป็นอาวุธให้คนทำงานในกลุ่ม 58% ที่ยังไม่ปรับตัวใช้ AI
การเสวนาดังกล่าวได้พูดถึงหนึ่งคำถามสำคัญ ที่กำลังเกิดขึ้นกับวัยทำงานยุคนี้ นั่นคือ "มนุษย์เงินเดือนจะปรับตัวอย่างไรในยุคที่องค์กรจะลดการลงทุนกับทรัพยากรมนุษย์ระยะยาว" โดยมีผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขามาเปิดเผยเคล็ดลับการใช้ AI ทำงานในองค์กร และให้คำแนะนำแก่วัยทำงาน
คลื่นเทคฯ ซัดองค์กรทั่วโลก ปี 2027 บริษัทใหญ่ 74% ใช้งาน AI พุ่ง
โน้ต ศรัณย์ คุ้งบรรพต ผู้เชี่ยวชาญด้าน HR และ HR Lead ของสถาบันการเงินชั้นนำ ได้เปิดเผยตัวเลขสำคัญว่า ปัจจุบัน 42% ขององค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก (ที่มีพนักงานตั้งแต่ 10,000 คนขึ้นไป) ได้นำ AI มาใช้อย่างจริงจังแล้ว (Active Adopt AI)
ขณะที่งานวิจัยบางแหล่งยังคาดการณ์ว่า สัดส่วนการใช้ AI ในองค์กรเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 74% ภายในปี 2027 อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีองค์กรใดประกาศชัดเจนถึงสัดส่วนพนักงานที่ต้องลดลง (เพราะมีการใช้ AI แทนที่บางตำแหน่งงาน) แต่สัญญาณนี้คือสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนต้องเริ่มพิจารณาว่า ตนเองกำลังอยู่ในกลุ่ม 42% ที่เข้าถึงการใช้ AI แล้ว หรืออยู่ในกลุ่ม 58% ที่ยังไม่ปรับตัวใช้ AI ทำงาน
จุดสำคัญคือ ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การที่พนักงานยังไม่ยอมปรับตัว จะส่งผลกระทบรุนแรงถึงการตกงานในอนาคต โดยเฉพาะคนที่ทำงานในตำแหน่งงานแบบ "งานหน้าเดียว"
ผู้เชี่ยวชาญด้าน HR เตือนว่า ภายในปี 2026 ประมาณ 7% ของกลุ่มตำแหน่งงานหรือทักษะงานบางอย่าง จะถูกแทนที่โดย AI และหายไปจากตลาดแรงงาน โดยกลุ่มงานที่ถูกคุกคามกลุ่มแรกๆ คือ งานลักษณะทำซ้ำๆ งานธุรการ เป็นต้น คนที่ทำงาน "หน้าเดียว" มาตลอดและไม่มีทักษะเสริม (Cross-skill) อื่นๆ จะตกอยู่ในอันตราย
ด้าน ต๊ะ วนัสรา วงษ์สมุทร CEO of Tamaya (ธุรกิจขายสินค้าญี่ปุ่นออนไลน์) หนึ่งในซีอีโอที่เริ่มนำ AI มาปรับใช้ในบริษัทของตนเองแล้ว มองว่า ช่วงไม่กี่ปีมานี้ องค์กรทั่วโลกกำลังปลดพนักงานครั้งใหญ่ อีกทั้งมีข้อมูลเชิงประจักษ์จากมุมธุรกิจ SME ว่า การนำ AI Chatbot ไปใช้ในธุรกิจที่ซับซ้อน เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือ Packaging ที่ต้องมีการคำนวณวัสดุและสินค้าจำนวนมากนั้น นำไปสู่การ Lay off พนักงานทั้งแผนก
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีเซลล์ 50 คน อาจถูกแทนที่ด้วย AI ตัวเดียว สาเหตุเพราะ AI สามารถคำนวณและค้นหาข้อมูลสินค้าจำนวน 3,000 SKU ได้เร็วกว่า ถูกต้องกว่า และแม่นยำกว่ามนุษย์
ซีอีโอ Tamaya ยังเตือนว่า งานลักษณะ Tele-Sales และ Call Center ก็กำลังถูกคุกคาม เนื่องจาก AI สามารถโทรขายของได้แล้ว แม้ภาษาไทยอาจจะยังไม่เก่งเท่ามนุษย์จริงๆ แต่มันก็จะทำได้เร็วๆ นี้
ปรับ Mindset ใหม่ AI คือ "ประแจ (เครื่องมือ) ยุคใหม่" ไม่ใช่ศัตรู
ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อแนะนำเร่งด่วนสำหรับพนักงาน 58% ที่ยังไม่ปรับตัว ใช้ AI ทำงาน โดยเน้นย้ำที่การเปลี่ยนมุมมองต่อเทคโนโลยี ว่า อย่ามองมันเป็นศัตรูที่จะมาแย่งงาน เพราะจริงๆ แล้วมันคือเครื่องมือของเรา เราต้องฝึกใช้งานมัน โดยได้ให้คำแนะนำ ดังนี้
1. เปลี่ยนจาก "ผู้ทำ" เป็น "ผู้คุม"
ซีอีโอต๊ะ เน้นย้ำว่า พนักงานต้องเปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้ทำ" เป็น "ผู้ควบคุม AI" เพราะ AI คือ คนงานของเราที่มีหน้าที่ทำงานซ้ำๆ ซึ่งทำได้ดีกว่ามนุษย์ ไม่ป่วย ไม่ลา ไม่หยุด แต่หน้าที่ของมนุษย์คือการเป็น "วาทยากร" (Orchestrator) ที่ควบคุมเอไอแต่ละตัว โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะด้านที่ AI ยังทำไม่ได้ เช่น การอ่านจิตใจลูกค้า หรือ การเรียนรู้บริบทของบริษัท
2. องค์กรต้องสร้าง Ecosystem การใช้ AI ที่ไม่น่ากลัว
ผู้เชี่ยวชาญด้าน HR ชี้ว่า องค์กรไม่ควรส่งสารเชิงลบว่า AI จะมาแทนที่คน และทำให้คนในองค์กรตกงาน แต่ควรสื่อสารว่า AI คือเครื่องมือที่จะช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น (Productive) และทำให้พนักงานมีเวลาไปใช้กับครอบครัวหรือชีวิตส่วนตัวได้มากขึ้น
ด้าน โชษณ ธาตวากร CEO of Ausara (ธุรกิจแบรนด์สิ่งทอจากโลหะ) ซีอีโออีกคนเปรียบเปรย AI ว่าเป็นเหมือน "ประแจยุคใหม่" ที่คนทำงานต้องเรียนรู้ที่จะใช้งานมัน แทนที่จะกลัวมัน
3. เปิด 3 ทักษะสำคัญที่ AI ทำแทนคนไม่ได้
ซีอีโอโชษณเน้นย้ำถึง 3 คุณสมบัติสำคัญของมนุษย์ที่เหนือกว่า AI ได้แก่
- Intention (เจตจำนง): AI ผลิตงานคุณภาพดีได้เป็นล้านชิ้น แต่ขาดเจตจำนงในการส่งมอบงาน ยังขาดทักษะด้านการปิดการขาย ซึ่งมันทำไม่ได้เหมือนคน
- Imagination (จินตนาการ): ความสามารถในการทำ Leap of Calculate คือการคิดในสิ่งที่ไม่ได้ผูกติดกับข้อมูลในอดีต
- Imperfection (Intentional Imperfection): การตั้งใจใส่ความไม่สมบูรณ์แบบลงไปในงาน เพื่อทำให้งานมี "ความเป็นมนุษย์" ซึ่งแตกต่างจากงานที่ AI Generate ออกมา ในรูปแบบเป็นมาตรฐานเท่ากันไปหมด
สำหรับคนทำงาน การอยู่รอดต่อไปในยุคนี้ได้ ต้องมีทักษะมนุษย์ที่สำคัญ นั่นคือ การใช้ "ดุลยพินิจ" (Discretion) และเรียนรู้ที่จะ "ควบคุมและเท่าทัน AI" โดยการไม่ทำตามสิ่งที่ AI สอน ลองคิดให้แตกต่างจากที่มันให้คำแนะนำเรา
อยากอยู่รอดต้อง Upskill ตัวเองด่วน และฝึกสกิลงานหลายๆ แบบ
โน้ต ศรัณย์ ชี้ว่า การเลือกที่จะปฏิเสธหรือตอบรับ AI เป็น "ช้อยส์ที่พนักงานต้องเลือกทำด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้ใครมายังคับ" และสิ่งสำคัญที่สุดคือ พนักงานต้องมีทักษะ Flexibility และ Adaptability
ในขณะที่องค์กรก็ต้องช่วยเหลือพนักงานด้วย โดยสร้าง Success Case ให้พนักงานได้เห็นจริงๆ ว่า AI จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตการทำงานของพวกเขาได้อย่างไร เช่น การใช้ AI สร้างงานนำเสนอ (PowerPoint) ที่ปกติใช้เวลา 15 นาที แต่ใช้ AI ก็สามารถทำเสร็จได้ภายในไม่ถึง 1 นาที ด้วยเครื่องมืออย่าง Gamma AI เป็นต้น
นอกจากนี้ ซีอีโอต๊ะเปิดเผยวิสัยทัศน์อีกว่า ในฐานะของผู้ประกอบการ มองว่า อีกหนึ่งฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราใช้ AI มาทำงานร่วมกับคนในบริษัท คือ พนักงานจะเปลี่ยนการทำงานจากการ work in job มาเป็น work on job หรือพูดอีกอย่างคือ คนทำงานต้องทำตัวเป็น "สถาปนิก" ที่ถอด Logic และควบคุม AI Agent ต่างๆ
ผู้นำมีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการใช้ AI ให้เกิดขึ้นจริง
ขณะที่ ซีอีโอโชษณ มองว่าอนาคตคือโลกของคนทำงานแบบ "เป็ด" ที่ต้องทำงานได้หลายๆ อย่างในตัวคนเดียว และองค์กรต้องปรับไปใช้โครงสร้างแบบ Matrix เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานข้ามสายงานได้
ผู้เชี่ยวชาญด้าน HR ตั้งคำถามไปยังผู้บริหารระดับสูง (Top Management) ว่า ความเข้มงวดเกินไปของผู้นำ อาจจะทำให้องค์กรสร้างวัฒนธรรมที่สร้างนวัตกรรมได้ยาก แต่หากผู้นำเปลี่ยน Mindset และให้ความสำคัญกับ Flexibility และ Adaptability มากกว่า Functional Skill ก็จะช่วยให้พนักงาน มีเวลาในการปรับตัวใช้ AI และโอกาสในการเปลี่ยนผ่านสู่การทำงานงานที่มีทักษะ AI ได้จริง
ผู้เชี่ยวชาญ HR และผู้นำองค์กร ได้สรุปคำแนะนำทิ้งท้ายไว้ว่า พนักงานออฟฟิศในยุคนี้อย่ามัวแต่เกร็งหรือกลัวที่จะลองใช้ AI มาทำงาน เพราะทักษะสำคัญในยุค AI คือ ทักษะในการปรับตัวและหาความรู้ใหม่ๆ และการต้อง Reskill/Upskill อย่างเร่งด่วน เพื่อให้แรงงานมนุษย์ขยับไปสู่การทำงานในจุดที่ AI ยังทำไม่ได้ เพื่อช่วยให้วัยทำงานทุกคนฝ่าคลื่นลมพายุ AI ไปได้อย่างไม่กลัวความท้าทาย







