เพิ่ม Productivity ไม่ใช่ทำงานหนัก คนประสบความสำเร็จสูงทำ 3 ข้อ

เพิ่ม Productivity ไม่ใช่ทำงานหนัก คนประสบความสำเร็จสูงทำ 3 ข้อ

ไม่ต้องนอนดึก หรือข้ามมื้อกลางวันเพื่อให้ตัวเอง “productive” อีกต่อไป แค่เปลี่ยนกิจวัตร 3 ข้อ ก็ช่วยให้โฟกัสดีขึ้นแบบไม่ต้องฝืน คนประสบความสำเร็จสูงมักทำเป็นประจำ

KEY

POINTS

  • เริ่มต้นวันด้วยกิจวัตรยามเช้าที่ดี เช่น การทำสมาธิหรือยืดเหยียด เพื่อสร้างสมาธิและเตรียมความพร้อมให้ร่างกายและจิตใจก่อนเริ่มงาน
  • ค้นหาและใช้ประโยชน์จาก 'เวลาทอง' (Power Hours) ซึ่งเป็นช่วงที่สมองทำงานได้ดีที่สุด โดยกันเวลาช่วงนั้นไว้สำหรับทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูง
  • จัดลำดับความสำคัญของงานด้วยหลัก 'Do, Delegate, Delete' เพื่อมุ่งเน้นไปที่งานหลักที่สำคัญที่สุด และตัดงานที่ไม่จำเป็นออกไป

ทุกวันที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วพบว่าคุณมีรายการงานที่ต้องทำ (To Do List) ในแต่ละวันยาวเป็นหางว่าว นั่นคงทำให้คุณรู้สึกท้อใจจนไม่อยากไปออฟฟิศ หากรู้สึกแบบนี้บ่อยๆ มันอาจถึงเวลาแล้วที่ต้องทบทวนใหม่ว่า คุณเข้าใจเรื่อง “การทำงานให้มีประสิทธิภาพ” แบบถูกทางหรือยัง

อลิสัน ทิบส์ (Allison Tibbs) โค้ชด้านสุขภาพและซีอีโอของบริษัท Nourished Life Coaching & Consulting บอกว่า การจะรักษาประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาวได้ ต้องเริ่มจาก “การวางรากฐานการทำงานด้วยนิสัยเชิงบวก” ไม่ใช่การฝืนเร่งตัวเองให้ทำงานหนักขึ้น (เพื่อหวังเพิ่ม Productivity) จนหมดแรง

เธอบอกว่า วัยทำงานหลายคน โดยเฉพาะคนเก่งที่อยากทำผลงานสูงๆ มักพยายามบีบเวลามากเกินไป ทั้งนอนดึก ตื่นเช้า ไม่กินมื้อกลางวัน หรือไม่พักเบรก เพราะมองว่ามันเสียเวลาทำงาน ซึ่งจริงๆ แล้ว พฤติกรรมเหล่านี้กลับเป็นการพาตัวเองเข้าใกล้ภาวะหมดไฟ (Burnout) มากขึ้นเรื่อยๆ 

“ถ้าจะทำงานให้ดี คุณต้องดูแลตัวเองด้วย” ทิบส์ย้ำ พร้อมเสริมว่า ลูกค้าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเธอ คือคนที่จริงจังทั้งเรื่องงานและเรื่องสุขภาพไปพร้อมกัน เพราะเมื่อร่างกายและใจพร้อม ผลงาน ความคิดสร้างสรรค์ ความมั่นใจ และความสัมพันธ์กับคนรอบตัวก็ดีขึ้นตามไปด้วย

ในฐานะโค้ชด้านสุขภาพ ทิบส์ ได้มีคำแนะนำเพื่อฝึก 3 นิสัยเชิงบวกอันสำคัญให้แก่วัยทำงาน เธอเชื่อว่าเทคนิคต่างๆ เหล่านี้จะช่วยสร้างประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน

จัดระเบียบ “กิจวัตรยามเช้า” ให้ดี

ทิบส์บอกว่าถ้าคุณยังติดนิสัยตื่นมาปุ๊บ รีบวิ่งออกจากบ้านไปทำงาน นั่นคือคุณกำลัง “ยิงปืนใส่ที่เท้าตัวเอง” โดยไม่รู้ตัว เพราะช่วงเช้าคือเวลาสำคัญในการวางรากฐานด้านอารมณ์และความสำเร็จของทั้งวัน

“ส่วนใหญ่เรามักรีบจนละเลยช่วงเช้า บางคนดื่มกาแฟแล้วไปเลย โดยที่ยังไม่ได้ดูแลตัวเองจริง ๆ” เธอว่า ก่อนจะเริ่มทำงาน ควรใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อทำให้ตัวเองสงบและพร้อมที่จะเข้าสู่โหมดทำงาน เช่น หายใจลึกๆ ทำสมาธิ หรือยืดเหยียดสั้นๆ

สำหรับตัวเธอเองมักจะเริ่มวันด้วยการทำสมาธิหรือโยคะ 15 นาที และเดินเล่นกลางแจ้ง ซึ่งเธอบอกว่าเป็นกิจวัตรง่ายๆ ที่ทำได้ทุกที่ และทำให้รู้สึกพร้อมทั้งกาย ใจ และอารมณ์ ก่อนที่จะไปทำงาน กิจวัตรเช้าที่ดีไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แต่ควรยั่งยืนและทำได้จริง ทิบส์ย้ำว่า  “มันจะทำให้คุณมั่นคงขึ้น มีพลัง และพร้อมเริ่มงานอย่างมีสมาธิ”

กำหนดตาราง “เวลาทอง” ของคุณ

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนนอนดึกตื่นสาย หรือนอนเร็วตื่นเช้าก็ตาม มันมักจะมีช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่สมองทำงานได้ดีที่สุด ซึ่งทิบส์เรียกว่า “Power Hours” สำหรับเธอเองคือระหว่าง 10 โมงเช้าถึงเที่ยง ที่มักจะโฟกัสและทำงานได้ดีที่สุด ดังนั้นเธอจะกันเวลานี้ไว้สำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิและพลังสูงที่สุด

เพื่อใช้เวลาในชั่วโมงทองให้ได้เต็มประสิทธิภาพ เธอแนะนำว่า ควรเตรียมตัวล่วงหน้า เช่น ปิดแจ้งเตือนมือถือ ปิดทุกแท็บที่ไม่เกี่ยวข้อง เก็บโต๊ะให้เรียบร้อย เตรียมน้ำ ขนม หรืออุปกรณ์ที่ต้องใช้ไว้ให้พร้อม

“คุณกำลังสร้างช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบสำหรับการโฟกัส เมื่อทุกอย่างพร้อม คุณก็ลงมือทำได้ทันทีโดยไม่เสียจังหวะ” เธออธิบาย

จัดลำดับความสำคัญของงานให้ชัด

หนึ่งในคำพูดสุดโปรดของทิบส์คือ “คนไม่ได้มีปัญหาเรื่องการจัดการเวลา แต่มีปัญหาเรื่องการจัดการลำดับความสำคัญ” เพราะเธอสังเกตว่า ลูกค้าของเธอหลายคนพยายามทำทุกอย่างพร้อมกัน จนเผาผลาญพลังงานทางสมองไปกับงานที่ไม่สำคัญ และสุดท้ายก็หมดแรงโดยไม่จำเป็น

ในทางกลับกัน คนที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ จะรู้แน่ชัดว่า “วันนี้งานหลักที่ต้องทำให้เสร็จคืออะไร” ดังนั้น เธอจึงสอนให้ใช้วิธี “Do, Delegate, Delete” หรือแยกงานออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 

1. Do: งานสำคัญที่ขับเคลื่อนผลงาน ต้องทุ่มเวลาและพลังมากที่สุด
2. Delegate: งานที่สามารถมอบหมายให้คนอื่นทำแทนได้
3. Delete: งานที่ไม่จำเป็น ต้องตัดออกจากลิสต์ไปเลย

คนทำงานที่ประสบความสำเร็จสูง มักมีขอบเขตชัดเจนว่า งานไหนคือ “Do” และกล้าที่จะละทิ้งงานอื่นๆ เพื่อโฟกัสกับสิ่งสำคัญจริงๆ ในแต่ละวัน

โดยสรุปก็คือ ถ้าคุณอยากทำงานได้ดีขึ้น มี Productivity เพิ่มขึ้น เคล็ดลับไม่ใช่การทำงานหนักขึ้นหรืออยู่ที่เรื่องการจัดการเวลาเท่านั้น แต่ต้องเริ่มจากดูแลสุขภาพตัวเองให้พร้อมลุยงานในทุกวัน เลือกใช้ “ชั่วโมงทอง” ให้คุ้มค่า และโฟกัสกับงานที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น เพื่อให้ไม่หมดพลังไปกลางคัน และยังคงทำงานต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน

 

อ้างอิง: CNBC Make itNourished.co