AI ช่วยทำงานเร็วขึ้น แต่พนักงานใจพัง หมดไฟ อยากลาออกพุ่ง 2 เท่า

AI ช่วยทำงานเร็วขึ้น แต่พนักงานใจพัง หมดไฟ อยากลาออกพุ่ง 2 เท่า

แม้ AI จะช่วยให้องค์กรทำงานเร็วขึ้น แต่กลับส่งผลให้พนักงาน 88% ที่ใช้ AI อย่างจริงจัง เกิดภาวะหมดไฟ (Burnout) และมีแนวโน้มอยากลาพุ่ง 2 เท่า โดยถูกนิยามว่า Quiet Cracking

KEY

POINTS

  • แม้ AI จะช่วยให้องค์กรทำงานเร็วขึ้น แต่กลับส่งผลให้พนักงาน 88% ที่ใช้ AI อย่างจริงจังเกิดภาวะหมดไฟ (Burnout) และมีแนวโน้มอยากลาออกสูงกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า
  • ภาวะดังกล่าวถูกนิยามว่า "Quiet Cracking" ซึ่งเป็นวิกฤติทางอารมณ์และจิตใจที่พนักงานค่อยๆ แตกสลายจากภายในโดยไม่รู้ตัว ทำให้ขาดแรงบันดาลใจและรู้สึกไม่มีความสุขในการทำงาน
  • สาเหตุหลักเกิดจากการที่พนักงานรู้สึกว่าตนเองถูกลดคุณค่าเมื่อองค์กรให้ความสำคัญกับ AI มากกว่าคน, รู้สึกแปลกแยกจากงาน, และมองว่าโอกาสเติบโตในสายอาชีพลดน้อยลง

ยุคนี้ไม่ว่าองค์กรไหนๆ ก็เริ่มเอา AI เข้ามาช่วยทำงานมากขึ้น เพราะต้องการเพิ่มผลิตภาพ-ประสิทธิภาพของการทำงานให้มากขึ้น โดยที่ใช้พนักงานเท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม แต่รู้หรือไม่? ขณะที่พนักงานใช้เอไอในการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ กลับทำให้พวกเขาไม่มีความสุขในการทำงาน และรู้สึกหมดไฟมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

ยืนยันจากงานวิจัยของ TalentLMS แพลตฟอร์มด้านการบริหารจัดการพนักงาน เผยว่า กว่า 54% ของพนักงานทั่วโลกยอมรับว่า รู้สึกไม่มีความสุขกับการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นบางครั้งหรือแทบตลอดเวลา

ขณะเดียวกัน งานศึกษาล่าสุดจาก Upwork พบว่าปัญหานี้รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานที่ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพงาน แม้ 77% ของผู้บริหารยอมรับว่า AI ช่วยให้องค์กรทำงานได้เร็วขึ้น แต่กลับมีถึง 88% ของพนักงานที่ใช้ AI อย่างจริงจังรายงานว่าเกิดอาการ “หมดไฟ” และมีแนวโน้มอยากลาออกมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า อีกทั้ง มีเพียง 1 ใน 4 ของบริษัทเท่านั้นที่จัดอบรมการใช้ AI อย่างเป็นระบบ

โดยอาการหมดไฟอย่างรวดเร็วของกลุ่มคนทำงานจำนวนมากอย่างดังกล่าว ถูกนิยามว่ามันคือปรากฏการณ์ Quiet Cracking หรือหมายถึง ภาวะถดถอยทางจิตใจและอารมณ์โดยไม่รู้ตัว ไม่ได้อยากเป็น แต่มีเหตุปัจจัยผลักให้วัยทำงานเหมือนคนกำลังพยายาม “ลอยคอ” อยู่กลางน้ำโดยไม่มีใครเห็นว่าใกล้จมน้ำแล้ว ซึ่งต่างจาก Quiet Quitting ที่เป็นการลดความทุ่มเทการทำงานลงโดยเจตนาของพนักงานเอง

TalentLMS อธิบายว่า Quiet Cracking คือความรู้สึกไม่มีความสุขอย่างต่อเนื่องในที่ทำงาน จนทำให้ขาดแรงบันดาลใจ ทำงานได้ไม่เต็มที่ และอยากลาออกมากขึ้น โดยที่คนเหล่านี้ไม่ได้อยาก “อู้งาน” แต่เหมือนกำลังค่อยๆ จมน้ำลงอย่างเงียบๆ

Quiet Cracking วิกฤติเงียบในที่ทำงาน อันตรายต่อองค์กรกว่าที่คิด

Quiet Cracking คล้ายรอยร้าวในแก้วน้ำที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น พนักงานยังทำงานไปเรื่อยๆ แต่ภายในกำลังแตกสลายทีละน้อย สุดท้ายอาจถึงจุดที่ทนไม่ไหวจนระเบิดออกมา

มาร์ติน โพดูชกา (Martin Poduška) บรรณาธิการจาก Kickresume อธิบายว่า อาการ Quiet Cracking มีความคล้ายๆ กับ Burnout เช่น รู้สึกหมดแรงบันดาลใจ ไม่มีคุณค่า หรือหงุดหงิดง่าย และอาการเหล่านี้จะค่อยๆ แย่ลงเรื่อยๆ ปัญหาคือ “มันไม่ชัดเจนทันที” คุณอาจกำลังเผชิญ Quiet Cracking อยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำ แต่ยังไม่รู้ตัว

ทั้งนี้มีรายงานจาก Gallup ระบุว่า Quiet Cracking สร้างผลเสียทางเศรษฐกิจร้ายแรง โดย ทำให้องค์กรทั่วโลกสูญเสียผลผลิตรวมกว่า 438,000 ล้านดอลลาร์

ข้อมูลจาก TalentLMS พบว่า 20% ของพนักงานเจอสภาวะนี้บ่อยครั้ง และ 34% เจอเป็นครั้งคราว หมายความว่า “กว่าครึ่งของแรงงานทั้งหมดอาจกำลังเผชิญ Quiet Cracking โดยไม่รู้ตัว” และที่น่ากังวลคือ คนที่อยู่ในภาวะนี้มีโอกาสรู้สึกว่าตนเอง “ไม่ได้รับคุณค่า” มากกว่าคนทั่วไปถึง 152%

ปัจจัยที่ทำให้คนทำงานแตกสลาย หนึ่งในนั้นคือ ยิ่งใช้ AI ยิ่งอยากลาออก

ผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ทำให้พนักงานมีภาวะ Quiet Cracking และพบว่า เกิดจากหลายๆ ปัจจัยมารวมกันเป็นพายุลูกใหญ่ ได้แก่ 

1. ตลาดแรงงานซบเซา ทำให้คนรู้สึกติดอยู่กับงานที่ไม่ชอบ แต่ต้องทำต่อไปเพราะภาระทางการเงิน หางานใหม่ยากกว่าเดิม

2. การใช้ AI ที่แพร่หลายในที่ทำงาน ทำให้บางคนรู้สึกถูกตัดขาดจากงานและองค์กร

3. พนักงานรู้สึกว่าตนเองขาดการยอมรับและการให้คุณค่า เพราะองค์กรเลือก AI มาก่อนพนังกานที่เป็นมนุษย์

4. โอกาสในการพัฒนาเส้นทางอาชีพ และเลื่อนตำแหน่งลดน้อยลง 

ทั้งหมดนี้สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้เกิดภาวะ Quiet Cracking ได้มากขึ้นในออฟฟิศ และอย่างที่บอกไปว่า คนที่มีอาการ Quiet Cracking มักจะเป็นภาวะที่ละเอียดอ่อนและยากที่จะมองเห็นได้ชัด 

แดนเนียล เฮก (Dannielle Haig) นักจิตวิทยาธุรกิจ และผู้ก่อตั้ง DH Consulting เตือนว่า Quiet Cracking อาจโผล่มาในรูปแบบที่คนรอบข้างมองข้ามไปได้ง่ายๆ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ลดลง ตัดสินใจช้าลง ทำผิดบ่อยขึ้น หรือทำงานร่วมกับทีมได้น้อยลง พนักงานเหล่านี้ยังคงทำงานได้ตามมาตรฐาน แต่ “แรงใจ” ของพวกเขาค่อยๆ หายไป กว่าจะมีใครสังเกตเห็น ความเสียหายก็ลึกเกินจะแก้ไขแล้ว

ปัญหานี้แก้ไขได้ไหม ทางออกอยู่ตรงไหน?

ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ในแง่ของการดูแลพนักงาน ผู้นำองค์กรควรเน้นการอบรมและพัฒนาพนักงานอย่างต่อเนื่อง เพราะพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมจะรู้สึกมั่นคงและมั่นใจในงานมากขึ้น

อีกทั้งควรมีการให้ “การยอมรับ” อย่างสม่ำเสมอ จัดระบบ Feedback Loop ลงทุนจัดคอร์สพัฒนาอบรมหัวหน้าและผู้จัดการ ให้มองเห็นสัญญาณอันตรายของพนักงานใต้บังคับบัญชาตั้งแต่เริ่มต้น และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ปลอดภัยทางจิตใจเพื่อให้พนักงานกล้าแสดงความกังวล และกล้าพูดคุยหาทางออกของความกังวลนั้น

อ่านมาถึงตรงนี้คงพอจะมองภาพออกว่า จริงๆ แล้ว ปัญหาของภาวะ Quiet Cracking ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านสุขภาพจิต แต่คือ ปัญหาทางธุรกิจ ที่กระทบต่อผลผลิต ความคิดสร้างสรรค์ และส่งผลกระทบต่อความภักดีต่อองค์กรด้วย ดังนั้น หากองค์กรมองเห็นและแก้ไขได้เร็ว ก็อาจพลิกเป็น “แต้มต่อ” ที่ทำให้เหนือกว่าคู่แข่งได้ 

 

 

อ้างอิง: WorkLife, Gallup, Talentlms, Upwork