ทำงานไม่จำเป็นต้องเจ็บปวด กูรูแนะใช้ ‘ความสุข’ ชี้วัดความสำเร็จ

ทำงานไม่จำเป็นต้องเจ็บปวด กูรูแนะใช้ ‘ความสุข’ ชี้วัดความสำเร็จ

ชีวิตสั้นเกินกว่าจะให้ความเครียดกลืนกินทุกวันทำงาน ผู้เชี่ยวชาญชี้ การทำงานไม่ใช่การเอาตัวรอด แต่คือพื้นที่สร้างสรรค์ เติบโต และสนุก ความสุขคือหัวใจของความสำเร็จ

KEY

POINTS

  • ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงองค์กร เสนอให้ใช้ ‘ความสุข’ เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในที่ทำงาน แทนความเชื่อเดิมว่างานที่ดีต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยยาก
  • วัฒนธรรมการทำงานที่ยุ่งตลอดเวลา (busyness cult) ไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จ แต่เป็นกับดักที่บั่นทอนประสิทธิภาพและสุขภาพของพนักงาน
  • ความสนุกในการทำงานที่แท้จริงเกิดจากแก่นของงาน เช่น การได้สร้างคุณค่าและพัฒนาทักษะ ไม่ใช่แค่สวัสดิการเสริม

หลายปีมานี้องค์กรต่างก็พูดถึงการปรับตัวและปฏิวัติองค์กรให้ก้าวทันโลกการทำงานยุคใหม่ที่มี AI เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลง แล้วถ้าวันนี้ “การปฏิวัติ” ที่แท้จริงในที่ทำงาน ไม่ใช่การสร้างนวัตกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ล่ะ? แต่การปฏิวัติในยุคนี้อาจคือ “ความสุข” ในที่ทำงาน

บรี กรอฟฟ์ (Bree Groff) ที่ปรึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงองค์กร และผู้เขียนหนังสือ Today Was Fun: A Book About Work (Seriously) เชื่อว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของความสุขในโลกการทำงาน

“เรามักถูกสอนว่า ‘งานก็คืองาน’ ยังมีความเชื่อฝังหัวอยู่ว่า ความยิ่งใหญ่ต้องแลกมากับความเหนื่อยยาก และถ้าเราสนุกเกินไป แสดงว่าเรายังทำงานหนักไม่พอ” ” เธอกล่าว และบอกอีกว่าซึ่งในมุมมองของเธอ ความเชื่อนี้ไม่เพียงแต่ล้าสมัย แต่ยังเป็นอันตรายด้วย

หนังสือของกรอฟฟ์จึงกลายเป็นเหมือน “แถลงการณ์” ที่ชวนให้เราคิดใหม่ต่อวิธีทำงานในแต่ละวัน ด้วยสำนวนขี้เล่นจริงใจ และมุมมองแบบไม่ยึดติดกรอบเดิม เธอรื้อระบบความเชื่อเดิมที่ว่า ประสิทธิภาพกับความสนุกไปด้วยกันไม่ได้ แต่.. “จริง ๆ แล้ว เราได้รับค่าตอบแทนเพราะเราสร้างคุณค่า ไม่ใช่เพราะเราทรมานตัวเอง ความเจ็บปวดเป็นทางเลือก ไม่ใช่เงื่อนไข” เธอย้ำ

วัฒนธรรมงานยุ่ง = กับดักความวุ่นวายในโลกการทำงาน

หนึ่งในประเด็นที่กรอฟฟ์วิจารณ์ชัดเจนที่สุด คือ “วัฒนธรรมความยุ่งตลอดเวลา” หรือสิ่งที่เธอเรียกว่า busyness cult โดยเธอมองว่า “ความยุ่งไม่ได้ทำให้เราสำเร็จ แต่มันคือโหมดสู้หรือหนี (fight-or-flight) ต่างหาก การใช้ชีวิตอยู่กับความเครียดระดับต่ำๆ หรือบางครั้งก็สูงตลอดเวลา” เธออธิบาย

เธออ้างรายงาน Infinite Workday ของ Microsoft ที่พบว่า พนักงานสายความรู้ (knowledge worker) โดยเฉลี่ยต้องรับอีเมลถึง 117 ฉบับต่อวัน และถูกขัดจังหวะทุก ๆ 2 นาที นั่นแปลว่า “ทำงานแบบนี้ไม่ใช่ความสุขแล้ว แต่มันคือการเอาตัวรอด”

กรอฟฟ์เตือนว่าจังหวะชีวิตที่เร่งรีบเช่นนี้ ไม่ได้แค่ทำลายประสิทธิภาพ แต่ยังกัดกร่อนสุขภาพกาย จิตใจ อารมณ์ และแม้กระทั่งจิตวิญญาณของเรา มันทำให้เราเลื่อนการออกกำลังกาย ไม่ไปตรวจสุขภาพ เพราะไม่มีเวลา เราปล่อยให้ความเครียดบ่อนทำลายความสัมพันธ์ และเราลืมไปว่าวันนี้มีครั้งเดียวในชีวิต พอใช้ไปแล้วก็ไม่มีวันย้อนกลับคืนมา

ทางออกของปัญหานี้ที่เธอแนะนำ คือ การ “ชะลอ” จังหวะลงให้มากพอที่จะมองเห็นความงามรอบตัว “อย่างที่ศิลปิน อองรี มาตีส เคยพูดไว้ว่า ‘ดอกไม้มีเสมอ สำหรับคนที่เลือกจะมองเห็นมัน’ แต่เราต้องยอมช้าลงก่อน ถึงจะมองเห็นได้จริง ๆ” เธอย้ำ 

วัยทำงานต้องคิดใหม่เรื่อง “ความสนุกในการทำงาน”

กรอฟฟ์บอกชัดเจนว่า ความสนุกในที่ทำงานไม่ใช่โต๊ะปิงปอง หรือปาร์ตี้ Happy Hour “สิ่งเหล่านั้นเหมือนแค่ไอซิ่งบนเค้ก แต่ตัวเค้กจริงๆ ก็อร่อยและเต็มไปด้วยรสชาติได้”

สำหรับเธอแล้ว ความสนุกอยู่ใน “สาระของงาน” ไม่ว่าจะเป็นการได้ทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมทีม การพัฒนาทักษะ การสร้างคุณค่า หรือแม้แต่การได้เงินก็เป็นส่วนหนึ่งของความสนุกเช่นกัน โดยเธอแนะนำให้ผู้นำลองชวนทีมออกแบบ “วันทำงานที่ดีที่สุด” ของแต่ละคนขึ้นมา เช่น
- วันนี้คุณอยากทำงานแบบไหน?
- อยากเรียนรู้อะไร?
- อยากสร้างสรรค์อะไร?

จากคำตอบเหล่านี้ องค์กรสามารถทดลองเปลี่ยนแปลงวิธีทำงานเพื่อสร้างทั้งความสุขและผลงานไปพร้อมกัน เช่น การจัดเวลา “โฟกัสทำงานโดยไม่ถูกรบกวน” หรือ เพิ่มระบบการให้ฟีดแบ็กที่ทำให้พนักงานรู้สึกภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าในงาน

เทคนิคทรงพลัง! มองหาและขยายความสุขในที่ทำงาน

หนึ่งในไอเดียที่ทรงพลังที่สุดของกรอฟฟ์ คือการ “มองหาและขยายความสุข” (spotting and multiplying joy) มันคือการปรับกรอบความคิดใหม่ ที่ชวนให้เราลองสังเกตว่าอะไรคือสิ่งที่เติมพลังให้เรา แล้วตั้งใจสร้างมันขึ้นมาให้มากขึ้น “ความสุขไม่ใช่แค่โบนัส แต่คือการฝึกฝน” เธอเขียนไว้

แนวคิดนี้ถูกบรรยายอยู่ในหนังสือ Today Was Fun พร้อมกิจกรรมชวนคิด กติกาสนุกๆ และเรื่องราวสีสันสดใสที่ท้าทายกรอบความเชื่อเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็น “วันสำหรับไม่ทำอะไรเลย” (Do Nothing Days) เพื่อรีเซ็ตพลังสร้างสรรค์ หรือ “กฎร้านฟาสต์ฟู้ด” (Fast Food Rule) ที่รับประกันว่า ทุกเสียงของคนในทีมจะถูกรับฟัง วิธีคิดของเธอจึงจริงจัง แต่ก็สนุกไปพร้อมๆ กัน

ความสุขในที่ทำงาน คือ นิยามใหม่ของความสำเร็จ

ประเด็นหลักที่กรอฟฟ์พยายามจะสื่อสารออกมาเหล่านี้ ตรงกับช่วงเวลานี้ที่หลายองค์กรกำลังเผชิญปัญหาความเหนื่อยล้า การหมดไฟของพนักงาน และการแสวงหาความหมายหลังยุคโควิด-19

สิ่งที่เธอเรียกร้องนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยเธอชี้ว่า “ต้องให้ความสุขเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความสำเร็จ”

“งานส่วนใหญ่ และการทำงานในแต่ละวัน ควรจะสนุก ไม่ใช่เพราะมันง่าย แต่เพราะมันคือความเป็นมนุษย์ และเมื่อเราออกแบบการทำงานที่เคารพความเป็นมนุษย์ เราไม่เพียงรู้สึกดีขึ้น แต่ยังทำผลงานได้ดีกว่าเดิมด้วย” เธอย้ำ

อีกทั้งกรอฟฟ์ได้รื้อความเชื่อว่า “ความเป็นมืออาชีพต้องมาพร้อมความเคร่งขรึมและการเสียสละ” แล้วชวนให้วัยทำงานกลับมาคิดใหม่และ “มองการทำงานใหม่” ว่า งานอาจไม่ใช่ตัวดูดพลัง แต่คือแหล่งพลังชีวิต

ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้นำที่อยากสร้างทีมที่อบอุ่น (cozy teams) หรือเป็นพนักงานที่กำลังหาความหมายในแต่ละวัน หนังสือเล่มนี้คือคู่มือที่น่าติดตาม สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนความสุขให้เป็นหัวใจหลักของการทำงาน

 

อ้างอิง: Forbes