ส่องขุมกำลังทรัพยากรมนุษย์เวียดนาม รองรับปฏิรูปโด๋ยเหมย 2.0

เวียดนามกำลังปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ ประกาศนโยบายเรียนฟรี เพื่อสร้างรากฐานทรัพยากรมนุษย์ที่แข็งแกร่ง ยกระดับทักษะแรงงานทักษะสูงเป็น 40-45% ภายในปี 2030
KEY
POINTS
- เวียดนามปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ โดยประกาศนโยบายเรียนฟรีในโรงเรียนรัฐบาลตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมปลาย เพื่อสร้างรากฐานทรัพยากรมนุษย์ที่แข็งแกร่ง
- ตั้งเป้าหมายยกระดับทักษะแรงงานเพื่อเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่พึ่งพาแรงงานราคาถูก โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนแรงงานมีทักษะสูงเป็น 40-45% ภายในปี 2030
- ภาครัฐปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 30% เพื่อรักษาบุคลากร ควบคู่กับการออกมาตรการ ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงจากต่างชาติ เพื่อรองรับเศรษฐกิจใหม่
แผนปฏิรูปแห่งชาติ โด๋ยเหมย 2.0 ของเวียดนาม ที่กำลังเริ่มดำเนินการในปี 2568 นี้ เกิดขึ้นห่างจากการปฎิรูปโด๋ยเหมยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2529 นานถึง 40 ปี เวียดนามมีความเติบโตทางเศรษฐกิจในทางที่ดีมาโดยลำดับตลอด 4 ทศวรรษ
ทว่าในความเติบโตยังมีปัญหาอุปสรรคที่เป็นกับดักรายได้ปานกลางอยู่หลายประการ ที่นำสู่การพยายามเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่กำลังเริ่มเดินหน้าในปี 2568 บนพื้นฐานแนวคิด “Transform to Reform, Optimise to Mobilise” ครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงใหญ่ 4 ด้าน คือ
ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ
ผลักดัน Private sectors เป็นพระเอกขับเคลื่อนเวียดนาม แทนรัฐวิสาหกิจที่เป็นแนวทางสังคมนิยมแบบเดิม
เวียดนามตั้งเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ทะเยอทะยาน คือ การก้าวสู่สถานะประเทศที่มีรายได้สูง (high-income) ภายในปี 2045 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 100 ปี แห่งการก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยธนาคารโลกประเมินว่าการจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ เวียดนามจะต้องรักษาระดับการเติบโตของ GDP ต่อหัวไว้ที่ประมาณ 6% ต่อปี ต่อเนื่องเป็นเวลาสองทศวรรษ
สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเวียดนามที่จะหลีกเลี่ยง "กับดักรายได้ปานกลาง" ในระยะสั้น เวียดนามยังตั้งเป้าให้ GDP ต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 7,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2030 อีกด้วย
ปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่
ลดขนาดกระทรวงและเขตปกครอง ลดจำนวนข้าราชการ ลดค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนภาครัฐอย่างน้อย 30%
ทางการเร่งรัดการอนุมัติแก้ปัญหาความซับซ้อนหลายขั้นตอน ลดควบรวมกระทรวงจากเดิม 18 เหลือ 13 กระทรวง อีกทั้งยังมีเป้าลดหลั่นหน่วยงานระดับกรมกองลงอีก และจะลดจำนวนจังหวัดและเทศบาลจาก 63 แห่งเหลือ 34 แห่ง
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนระบบการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นแบบสองชั้น (จังหวัดและตำบล) จากเดิมที่มีสามชั้น (จังหวัด อำเภอ และตำบล) ส่งผลให้จำนวนหน่วยการปกครองลดลงประมาณ 60-70% ภาพรวมพุ่งเป้าคือผลด้านประสิทธิภาพขององค์กร
ปฏิรูปวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการผลิต
ตั้งเป้าให้มีบรรษัทขนาดใหญ่แบบแชโบล 20 แห่ง ควบคู่ SMEs
นำทรัพยากรที่ได้มาลงทุนใหม่ในพื้นที่ต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป้าหมายรูปธรรมเวียดนาม จะต้องติดใน 30 ประเทศที่มีนวัตกรรมสูงสุดในโลกภายในปี 2588 และเศรษฐกิจดิจิทัลจะมีสัดส่วนเกิน 50% ของ GDP ภายในปีดังกล่าว
ปฏิรูปทรัพยากรมนุษย์
ให้การศึกษาพื้นฐานแบบเรียนฟรี ตั้งเป้าเพิ่มผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ รองรับเศรษฐกิจใหม่
ทรัพยากรมนุษย์เป็นประเด็นที่บทความนี้อยากจะลงรายละเอียด มากกว่าการปฏิรูปสามด้านแรก ด้วยเพราะทรัพยากรมนุษย์จะเป็นปัจจัยชี้วัดความสำเร็จหรือล้มเหลวของเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด
อันที่จริงเวียดนามมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ ค่าตอบแทนที่ดึงดูดคนก็ต่ำ ภาครัฐมองเห็นปัญหา นอกเหนือจากการลดขนาดองค์กร เพิ่มประสิทธิภาพแล้ว ยังมีแผนเพิ่มค่าตอบแทนและปรับปรุงการประเมินข้าราชการให้ดียิ่งขึ้นเพื่อรักษากลุ่มบุคลากรที่มีความสามารถเดิมไว้
ความสำคัญเรื่องนี้จึงค่อนข้างเร่งด่วนเมื่อมิถุนายน 2567 รัฐได้ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการแล้ว 30% ภาครัฐกำลังเปลี่ยนแปลงระบบภายใน เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลายสาขาและทักษะ ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน เช่น สัญญาจ้างงานเฉพาะทางแบบมีกำหนดระยะเวลา เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเหล่านี้มีแรงจูงใจมากขึ้นในการเข้ารับราชการ
ในส่วนของภาคเอกชน พร้อมๆ กับแผนยกระดับการผลิต เริ่มมีนโยบายดึงดูดผู้มีความสามารถจากต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงมาตรการยกเว้นวีซ่าสูงสุด 5 ปี สำหรับบุคคลที่มีทักษะสูงในกลุ่มที่มีลำดับความสำคัญ พระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่ที่เอื้อให้ชาวต่างชาติได้ใบอนุญาตทำงานภายใน 10 วันทำการ และการผ่อนปรนข้อกำหนดในการขอสัญชาติ เป็นต้น
การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศ เด็กต้องได้เรียนฟรี!
การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รัฐบาลเพิ่งผ่านนโยบายยกเลิกค่าเล่าเรียนสำหรับโรงเรียนรัฐบาลทุกแห่ง ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ขณะที่นักเรียนในสถาบันเอกชนก็มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเช่นกัน โดยรัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อให้เด็กเข้าถึงการศึกษาระดับอนุบาลอย่างทั่วถึงภายในปี พ.ศ. 2573 ในขณะเดียวกัน ปรับเงินเดือนของครูในระดับสูงสุดเท่าระดับเงินเดือนของฝ่ายบริหาร
การปฏิรูปด้านทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะเวียดนามมีขุมพลังประชากรอายุน้อยจำนวนมาก ในบรรดาประชากรราว 100 ล้านคน (2024) มีสัดส่วนผู้มีอายุต่ำกว่า 35 ปีมากกว่าครึ่ง สะท้อนภาพรวมว่าเป็นประเทศที่ “คนรุ่นใหม่” มีสัดส่วนมาก ประมาณการว่าขณะนี้ (2025) มี Gen Z เป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของแรงงานทั้งหมด
โด๋เหมย 2.0 จึงเป็นห้วงรอยต่อที่ท้าทายมาก เพราะเวียดนามเองก็รู้ว่าตลอดสองทศวรรษภายใต้โด๋เหมย 1.0 เขายังเป็นประเทศที่เน้นแรงงานราคาถูก ใช้ต้นทุนแรงงานราคาต่ำดึงดูดอุตสาหกรรมประเภท สิ่งทอ รองเท้า พื้นฐานประกอบอิเลคทรอนิคส์ขั้นพื้นฐานที่ใช้แรงงานมากกว่าเครื่องจักร ค่าแรงก็ถูก ระหว่าง 4,200-6,000 บาท/เดือน การปฏิรูปใหญ่ก็คือเปลี่ยนโครงสร้างทุนมนุษย์ (human capital) ของประเทศ
เป้าหมายยกระดับเพิ่มทักษะใหม่แรงงานเขาก็พยายามเริ่มดำเนินการเช่น Samsung Vietnam สร้างพาร์ตเนอร์กับสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี VinFast ลงทุนสร้าง Training Centre เพื่อผลิตเทคนิเชี่ยนที่พร้อมใช้งานกับเทคโนโลยี Industry 4.0 รวมทั้งโรงงานผลิตเสื้อผ้า “Viet Thang Jean” เปลี่ยนการทำงานแบบ manual ให้เชื่อมกับหุ่นยนต์ได้
การก้าวสู่ระดับ semi-skilled มีเป้าจะเพิ่มสัดส่วนแรงงานมีทักษะสูงจากราว 26% (ปี 2020) ไปถึงระดับ 40-45% ในปี 2030 แผนเพิ่มหลักสูตร STEM Skills (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ในมหาวิทยาลัยก็เป็นส่วนหนึ่งของโด๋เหมย 2.0
แผนปฏิรูปเพื่อการยกระดับทรัพยากรมนุษย์พร้อมๆ กับการปฏิรูปการผลิตใหม่ของเวียดนาม เป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูต่อไป
..........................................
เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ







