Gen Z ทำน้อยได้มาก รุ่นใหญ่ทำงานหนัก แต่ผลงานสู้คนรุ่นใหม่ไม่ได้

Gen Z ทำงานน้อยชั่วโมง แต่ผลงานแซงรุ่นใหญ่ สัญญาณชี้ “ชั่วโมงทำงาน” อาจไม่ใช่คำตอบ คนรุ่นใหม่ทำน้อยแต่ได้มาก ส่วนรุ่นใหญ่ยึดติดการทำงานล่วงเวลา แต่ไปไม่ถึงเป้าหมาย
KEY
POINTS
- ผลสำรวจพบว่าพนักงานรุ่นใหญ่ (อายุ 51-65 ปี) ทำงานล่วงเวลามากกว่า แต่กลับทำผลงานได้น้อยกว่ากลุ่ม Gen Z (อายุ 18-35 ปี) ที่ทำงานน้อยชั่วโมงแต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
- Gen Z มีความสามารถในการปรับตัวและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI มาใช้ในการทำงานได้ดีกว่า ทำให้ประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากกว่าคนรุ่นใหญ่
- คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance และการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานเป็นเวลานานๆ ซึ่งต่างจากคนรุ่นใหญ่ที่มักเชื่อมโยงชั่วโมงทำงานกับความทุ่มเท
ประเด็น "ชั่วโมงการทำงาน" ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันอีกครั้งในโลกการทำงาน โดยเกิดการตั้งคำถามว่าหากทำงานล่วงเวลา จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน และมีผลงานที่ดีขึ้นจริงไหม? ล่าสุดมีผลสำรวจใหม่พบว่า พนักงานรุ่นใหญ่ทำงานในชั่วโมงที่ยาวนาน ทำงานล่วงเวลา แต่ผลลัพธ์กลับไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในขณะที่ Gen Z คนรุ่นใหม่ทำงานน้อยชั่วโมงกว่าแต่ผลงานดี ..สะท้อนให้เห็นว่าการทำงานหนักอาจไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพงานดีเสมอไป
ยืนยันจากข้อมูลผลสำรวจของ Pipedrive บริษัทซอฟต์แวร์ด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ ครอบคลุมพนักงานขายกว่า 1,000 คนจาก 82 ประเทศ พบว่า 82% ของพนักงานอายุ 51-65 ปีทำงานล่วงเวลาเป็นประจำ ขณะที่พนักงานอายุ 18-35 ปี มีเพียง 59% ที่ยอมทำงานเกินเวลา แต่ผลลัพธ์การทำงานกลับสวนทางกัน เพราะกลุ่มที่ทำงานหนักกว่ากลับบรรลุเป้าหมายการขายน้อยกว่า
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า “การทำงานในชั่วโมงยาวนาน” อาจไม่ได้หมายถึงผลงานที่มากกว่าเสมอไป และแนวทางการทำงานของคนรุ่นใหม่ กำลังท้าทายความเชื่อดั้งเดิมที่ว่า ความทุ่มเทต้องวัดจากการทำงานล่วงเวลา
ภาพลักษณ์ Gen Z ในโลกการทำงานกำลังเปลี่ยนไป
ที่ผ่านมา Gen Z มักถูกมองว่าเป็น “เจนเนอเรชันที่ทำงานด้วยยากที่สุด” ผลสำรวจจาก Redfield & Wilton Strategies ที่จัดทำให้ Newsweek เคยเผยว่า 40% ของผู้ตอบแบบสอบถาม รวมถึงกลุ่มคน Gen Z เอง มองว่าคนรุ่นนี้ทำงานด้วยยากที่สุด แต่ข้อมูลล่าสุดจาก Pipedrive กำลังหักล้างภาพจำเดิมๆ เพราะแสดงให้เห็นว่า ความพยายามรักษา work life balance ของพวกเขา ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน แต่กลับช่วยให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่า
อเล็กซ์ บีน (Alex Beene) อาจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จาก University of Tennessee at Martin ให้ความเห็นกับ Newsweek ว่า ความแตกต่างระหว่างรุ่นอาจเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการมองว่าคนรุ่นใหม่มีจริยธรรมการทำงานที่ต่างไป หรืออาจสะท้อนว่าพวกเขาเข้าใจการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ ในที่ทำงานได้ดีกว่า
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ย้ำว่า “พนักงาน Gen Z อายุ 18-35 ปี มักเป็นกลุ่มที่เรียนรู้และรับเอา AI และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาใช้ในการทำงานได้เร็วกว่าคนทำงานรุ่นใหญ่ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพได้มาก”
ขณะเดียวกัน ไบรอัน ดริสคอลล์ (Bryan Driscoll) ที่ปรึกษาด้าน HR มองว่า วัฒนธรรมการทำงานของรุ่นใหญ่ มักเชื่อมโยงชั่วโมงทำงานกับความภักดีต่อองค์กร แต่นั่นไม่ได้การันตีผลลัพธ์อีกต่อไป
“การทำงานในชั่วโมงยาวนาน หรือทำงานล่วงเวลา ไม่ได้หมายถึงผลผลิตที่มากกว่า การศึกษาหลายชิ้นชี้ว่า ผลลัพธ์อาจตรงกันข้ามด้วยซ้ำ คนรุ่นใหม่ให้คุณค่ากับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาหันมาใช้เทคโนโลยี และวางขอบเขตชีวิตชัดเจน คนรุ่นใหม่รู้ว่าการทำงานเกินไป จะทำลายประสิทธิภาพ เลยเลือกที่จะปกป้องเวลาและพลังงานของตัวเอง ซึ่งผลลัพธ์ก็สะท้อนออกมาให้เห็นชัด” ดริสคอลล์ อธิบาย
Gen Z เลือกสมดุลชีวิตมากกว่าเงินเดือน
แนวโน้มนี้ยังสะท้อนชัดเจนในผลสำรวจของ Randstad บริษัทจัดหางานระดับโลก ที่พบว่า 76% ของคน Gen Z ให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลชีวิตมากกว่าค่าตอบแทน
เควิน ทอมป์สัน (Kevin Thompson) ซีอีโอของ 9i Capital Group และผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ 9innings บอกกับ Newsweek ว่า คนรุ่นใหม่ทำผลงานได้ดีกว่ารุ่นใหญ่ เพราะพวกเขาปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ดีกว่า
“คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มจะทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิต ไม่ว่าจะเป็น AI สมาร์ทโฟน หรือการทำงานจากนอกออฟฟิศ” ทอมป์สัน บอก
บีนยังเสริมอีกว่า ปัจจัยด้านช่วงวัยก็ส่งผลต่อแรงจูงใจ คนอายุน้อยซึ่งกำลังสร้างครอบครัวมักอยากเลิกงานตรงเวลา เพื่อไปจัดการภาระหน้าที่อื่นๆ ในครอบครัว ขณะที่คนอายุเกิน 50 ปี มักอยู่ในช่วงชีวิตที่ต้องการเพิ่มผลผลิตและรายได้เพื่อเตรียมเกษียณ
ประสบการณ์ vs เทคโนโลยี ความต่างของสองเจนเนอเรชัน
ดรูว์ พาวเวอร์ส (Drew Powers) ผู้ก่อตั้ง Powers Financial Group มองว่าคนรุ่นใหม่ได้เปรียบในด้านกำลังกายและการใช้เทคโนโลยี แต่ไม่ควรมองข้ามข้อได้เปรียบของรุ่นใหญ่ที่มีประสบการณ์และภูมิปัญญาสั่งสมที่มากกว่า “ตลอดประวัติศาสตร์ คนรุ่นเก่ามักมองว่ารุ่นใหม่ขี้เกียจ ไม่ทำงานล่วงเวลา ขณะที่รุ่นใหม่ก็มองว่ารุ่นเก่าไม่ทันโลก เรื่องนี้ไม่เคยเปลี่ยน”
มุมมองนี้สะท้อนว่าแม้คนรุ่นใหม่จะก้าวนำในด้านการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่คุณค่าของคนรุ่นใหญ่ก็ยังคงอยู่ และทั้งสองเจนเนอเรชันสามารถเสริมกันได้
สิ่งที่น่าจับตามองคือทิศทางการปรับตัวขององค์กรในอนาคต ดริสคอลล์ ชี้ว่า บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องเลิกยึดติดกับการวัดผลงานด้วยจำนวนชั่วโมงทำงาน “การทำงานเกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์มันล้าสมัยแล้ว การจับเวลาให้นั่งโต๊ะก็ล้าสมัย การเฝ้าดูว่าพนักงานทำงานจริงหรือไม่นั้น ยิ่งไม่มีประสิทธิภาพ อนาคตของการทำงานกำลังพิสูจน์ว่า ผลลัพธ์ไม่ได้วัดจากจำนวนชั่วโมง”
เห็นชัดว่า “การทำงานหนัก” ไม่ได้เท่ากับ “การทำงานมีประสิทธิภาพ” อีกต่อไป คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตและรู้จักใช้เทคโนโลยี สามารถถทำผลงานได้เหนือกว่าคนรุ่นใหญ่ คำถามสำคัญคือ องค์กรจะพร้อมปรับวิธีคิดเรื่อง Productivity และปรับรูปแบบการทำงานให้เข้ากับความจริงใหม่นี้หรือไม่
อ้างอิง: Newsweek, Blanquivioletas







