ยอดลางานเพราะป่วยจิตพุ่ง 300% ความปกติใหม่พนักงานดูแลใจจริงจัง

ผลสำรวจจาก ComPsych ชี้ พนักงานลางานด้วยสาเหตุสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นกว่า 300% เทียบกับก่อนโควิด-19 สะท้อนความปกติใหม่ พนักงานดูแลจิตใจตนเองอย่างจริงจัง
KEY
POINTS
- รายงานล่าสุดชี้ว่าจำนวนพนักงานที่ลางานระยะยาวเพื่อดูแลสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นถึง 300% ในช่วงปี 2019-2024 เมื่อเทียบกับก่อนการระบาดของโควิด-19
- สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยภายนอก เช่น ความขัดแย้งทั่วโลก เศรษฐกิจผันผวน และการที่สังคมเปิดกว้างเรื่องสุขภาพจิตมากขึ้นหลังยุคโควิด
- ตัวเลขที่สูงขึ้นสะท้อนถึง "ความปกติใหม่" ที่พนักงานให้ความสำคัญกับการดูแลตนเอง และกระตุ้นให้องค์กรต้องลงทุนในโครงการดูแลเชิงป้องกันมากขึ้น
โลกการทำงานเปลี่ยนไป หลายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นไวกว่าที่คิด ทั้งเรื่องโรคระบาด เทคโนโลยี AI เศรษฐกิจไม่แน่นอน อัตราการปลดคนออกสูงขึ้นเรื่อยๆ ฯลฯ ไม่แปลกที่วัยทำงานจะรับมือได้ยากและกระทบต่อสุขภาพจิตมากกว่าที่คิด ล่าสุด.. มีผลสำรวจเกี่ยวกับการลางานของพนักงานพบว่า จำนวนพนักงานที่ลางานยาวเพื่อดูแลสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างที่ไม่เคยแตะระดับนี้มาก่อน
ผลสำรวจดังกล่าวจัดทำขึ้นโดย ComPsych ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิตและการจัดการการลางาน โดยระบุว่า ช่วงปี 2019 - 2024 จำนวนการลางานโดยรวมเพิ่มขึ้น 30% และหากเจาะลึกลงไปเฉพาะการลางานด้วยปัญหาสุขภาพจิต พบว่าพุ่งขึ้นถึง 300% เมื่อเทียบกับก่อนการระบาดของโควิด-19
สังคมการทำงานยุคนี้ เข้าใจปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น แต่นายจ้างบางรายละเลย
เจนนิเฟอร์ เบิร์ดซอลล์ (Jennifer Birdsall) ประธานเจ้าหน้าที่ด้านคลินิกของ ComPsych อธิบายกับ CNBC Make It ว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ความไม่สงบในสังคม เศรษฐกิจที่ผันผวน และการแบ่งขั้วทางการเมือง คือสาเหตุที่ทำให้การลางานด้วยเหตุผลทางสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
อีกทั้ง โควิด-19 ก็ถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เพราะทำให้สังคมเปิดกว้างเรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น ลดการตีตราของคนที่ต้องการความช่วยเหลือ และทำให้พนักงานรู้จักเข้าถึงทรัพยากรหรือสวัสดิการที่องค์กรจัดให้ หลังโควิด หลายบริษัทลงทุนเพิ่มในสวัสดิการด้านสุขภาพจิต แต่รายงานล่าสุดกลับชี้ว่าพนักงานบางส่วนรู้สึกว่าการสนับสนุนจากที่ทำงานเริ่มลดลง
พอล โพซีย์ (Paul Posey) ซีอีโอของ ComPsych ระบุว่า แม้การลางานจะไม่เพิ่มต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด แต่ตัวเลขที่สูงในปัจจุบันสะท้อนถึง “ความปกติใหม่” ของการที่คนจำนวนมากเลือกหยุดงานเพื่อดูแลจิตใจตัวเอง โดยในปี 2023 การลาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นอีก 33% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ก่อนจะทรงตัวในปี 2024
รายงานนี้ครอบคลุมข้อมูลจากพนักงานกว่า 6 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นการลางานตามกฎหมายสหรัฐฯ เช่น Family and Medical Leave Act หรือสิทธิ์การลาตาม Americans with Disabilities Act ซึ่งไม่บังคับให้นายจ้างจ่ายเงินระหว่างลา แต่บางบริษัทก็มีนโยบายให้สิทธิ์ลาพักแบบมีค่าจ้างเพิ่มเติม
หากพนักงานสุขภาพจิตดีขึ้น การลางานจะลดลง
เบิร์ดซอลล์ย้ำว่า สิ่งที่องค์กรควรทำคือจัดการกับต้นตอของปัญหาสุขภาพจิตและลงทุนในโครงการดูแลพนักงานเชิงป้องกัน ไม่ใช่ว่ามาตามแก้ไขภายหลังเมื่อพนักงานป่วยแล้ว ตามข้อมูลของ ComPsych พบด้วยว่า พนักงานที่ลางานและเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตที่นายจ้างจัดให้ ฟื้นตัวกลับมาทำงานได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้ใช้บริการเฉลี่ย 6 วัน ไม่ว่าจะเป็นการลางานด้วยสาเหตุสุขภาพจิต การผ่าตัด หรือการลาคลอดก็ตาม
เธออธิบายว่า การสร้างความยืดหยุ่น (resiliency) การสอนทักษะดูแลตัวเอง และการสร้างสมดุลชีวิตการทำงาน ก่อนที่อาการจะรุนแรงจนกระทบการใช้ชีวิต คือหัวใจสำคัญ ซึ่งรวมถึงการมีเครื่องมือช่วยเหลือตนเอง การโค้ชด้านสุขภาวะ และการสนับสนุนด้าน work-life balance
เบิร์ดซอลล์ยังชี้ว่า การจัดการปัญหาสุขภาพจิตในองค์กรไม่ใช่แค่เรื่องของนโยบาย แต่เป็นหน้าที่ของผู้จัดการโดยตรง การสอนให้หัวหน้าทีมรู้จักสังเกตพนักงานที่กำลังมีปัญหา กล้าพูดคุยอย่างสนับสนุน และแนะนำสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่องค์กรมี จะช่วยแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่จะถึงขั้นต้องลางานยาว
รายงานจาก Mercer ระบุว่า ภายในปี 2026 กว่า 75% ของนายจ้างมีแผนจะเสริมเครื่องมือดิจิทัลเพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตและการสร้างความยืดหยุ่น ขณะเดียวกันก็เพิ่มโอกาสในการรับคำปรึกษาแบบตัวต่อตัว สำหรับพนักงานที่กลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ และขยายจำนวนครั้งการเข้ารับการบำบัดที่ครอบคลุมในสวัสดิการ
ในเมื่อการลางานเพื่อดูแลสุขภาพจิตไม่ใช่เรื่อง “ผิดปกติ” อีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานยุคใหม่ คำถามสำคัญคือ องค์กรจะพร้อมรับมือแค่ไหน? หากการสนับสนุนมีเพียงพอ พนักงานก็อาจไม่จำเป็นต้องพักงานนาน และยังกลับมาทำงานได้อย่างมีพลังมากกว่าเดิม
อ้างอิง: CNBC make it, ComPsych, Modernhealth







