พนักงาน 50+ ความรู้แน่นแต่ถูกมองข้าม ถูกบีบให้รีบเกษียณก่อน

พนักงาน 50+ ความรู้แน่นแต่ถูกมองข้าม ถูกบีบให้รีบเกษียณก่อน

9 ใน 10 ของพนักงานวัย 50+ ปี เจอเลือกปฏิบัติ ถูกบีบให้รีบเกษียณ ไม่ได้รับพิจารณาเลื่อนขั้น แม้ช่วยรัดเข็มขัดได้ แต่นายจ้างเสี่ยงวิกฤติเสียคุณค่าในที่ทำงาน

KEY

POINTS

  • ผลสำรวจในสหรัฐฯ พบว่าพนักงานวัย 50 ปีขึ้นไป กว่า 9 ใน 10 คนเคยเผชิญการเลือกปฏิบัติ เช่น ถูกกีดกัน กดค่าแรง หรือถูกบีบให้เกษียณก่อนเวลา
  • รูปแบบการเลือกปฏิบัติที่พบบ่อย ได้แก่ การได้รับค่าจ้างต่ำกว่าคนรุ่นใหม่ในตำแหน่งเดียวกัน การถูกมองข้ามโอกาสเลื่อนตำแหน่ง และการถูกกีดกันจากงานที่ท้าทาย
  • องค์กรที่มองข้ามคุณค่าของพนักงานสูงวัยมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียองค์ความรู้เชิงสถาบันและบุคลากรระดับผู้นำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของบริษัท
  • พนักงานสูงวัยจำนวนมากยังต้องเผชิญกับการพูดจาเหยียดอายุ โดยเฉพาะเรื่องทักษะเทคโนโลยี และรู้สึกว่าไม่ได้รับเกียรติจากเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง

ผลสำรวจใหม่ในสหรัฐฯ เผยให้เห็นวิกฤติช่องว่างระหว่างวัยทำงานในที่ทำงาน เมื่อพนักงานสูงอายุ ในวัย 50 ปีขึ้นไป กว่า 9 ใน 10 คน ยอมรับว่าเคยเผชิญการเลือกปฏิบัติด้านอายุ ทั้งถูกกีดกัน ถูกกดค่าแรง หรือถูกบีบให้เกษียณก่อนเวลา ขณะที่นายจ้างเองก็อาจกำลังพาตัวเองเข้าสู่ความเสี่ยงทั้งด้านกฎหมายและการสูญเสียความรู้เชิงสถาบันที่มีคุณค่า

พนักงานสูงวัย 50+ โดนบังคับให้เกษียณก่อนเวลา บริษัทอาจเสียเสาหลัก

การสำรวจพนักงานสูงวัย 878 คนโดยแพลตฟอร์ม Resume Now พบความขัดแย้งชัดเจน แม้พนักงาน 97% มั่นใจว่านายจ้างเห็นคุณค่าประสบการณ์ของตน แต่ความจริงในชีวิตประจำวันกลับเต็มไปด้วยการถูกกีดกัน ขาดการยอมรับ และอคติในเชิงระบบ

คีธ สเปนเซอร์ (Keith Spencer) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพจาก Resume Now เตือนว่า “นายจ้างที่ไม่เห็นคุณค่าของพนักงานสูงวัย ไม่เพียงแต่จะสูญเสียองค์ความรู้ แต่ยังอาจเสียเสาหลักด้านภาวะผู้นำที่ช่วยพยุงองค์กรให้มั่นคง”

เคลซีย์ ซาเมต (Kelsey Szamet) หุ้นส่วนจากสำนักงานกฎหมาย Kingsley Szamet อธิบายว่า คนทำงานวัย 50+ มักเจอทั้งช่องว่างค่าจ้าง การถูกมองข้ามโอกาสเลื่อนตำแหน่ง และการถูกกีดกันจากงานสำคัญ บางรายถึงขั้นถูกบีบให้ออกจากงานก่อนวัยเกษียณ ทั้งที่มีประสบการณ์และผลงานยาวนาน

พนักงานสูงวัย ได้ค่าจ้างต่ำกว่าคนรุ่นใหม่ - ไม่ถูกพิจารณาเลื่อนขั้น

ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อพนักงานร้องเรียนไปยังฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหาร หลายครั้งกลับถูกเพิกเฉย หรือถูกกล่าวหาว่า “ไม่ใช่ผู้เล่นคนสำคัญในทีม” (Good Team Player) บางกรณียังเจอการเหยียดอายุหรือการเลือกปฏิบัติแบบเงียบๆ อย่างแนบเนียน

โดยข้อมูลจาก Resume Now ชี้ว่า การเหยียดอายุ (Ageism) ไม่ได้ปรากฏเฉพาะการบังคับเกษียณก่อนเวลาเท่านั้น แต่ยังอยู่ในรายละเอียดเล็กๆ ที่สร้างผลกระทบไม่แพ้กัน ได้แก่

1. ค่าตอบแทนไม่เป็นธรรม: กว่าครึ่งของพนักงานสูงวัยได้รับค่าจ้างต่ำกว่าคนรุ่นใหม่ในตำแหน่งเดียวกัน

2. หยุดชะงักในสายอาชีพ: เกือบ 25% ถูกกันออกจากงานท้าทาย และ 15% ถูกมองข้ามการเลื่อนตำแหน่ง แม้คุณสมบัติเหนือกว่า

3. การถูกล้อเลียนและเหมารวม: ราว 40% เจอการพูดจาเหยียดอายุ โดยเฉพาะเรื่องทักษะเทคโนโลยี สร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร

4. ถูกกีดกันจากกิจกรรมในองค์กร: เกือบ 20% รายงานว่าถูกกันออกจากการประชุมหรือกิจกรรมบริษัท

'ความตึงเครียด' ระหว่างวัยในที่ทำงาน พุ่งสูงไม่หยุด

แม้ 90% ของพนักงานสูงวัยบอกว่า ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องเป็นไปในเชิงบวก แต่เมื่อเจาะลึกกลับพบว่า 83% เคยรู้สึกว่า ถูกไม่ให้เกียรติจากรุ่นน้องในบางครั้ง และเกือบ 50% บอกว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง สิ่งนี้ไม่เพียงบั่นทอนกำลังใจ แต่ยังบ่อนทำลายวัฒนธรรมองค์กร และอาจละเมิดกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกเลือกปฏิบัติด้านอายุ (ADEA)

ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าฝ่ายทรัพยากรบุคคลควรเร่งปรับมาตรการ เช่น ตรวจสอบแนวปฏิบัติ ทบทวนข้อมูลค่าตอบแทน การเลื่อนตำแหน่ง และเกณฑ์การตัดสินใจให้เป็นกลาง

รวมถึงควรมีการ "อบรมภาวะผู้นำ" จัดการฝึกอบรมผู้จัดการทุกระดับ ให้รู้จักสังเกตและจัดการอคติด้านอายุ และต้องอย่าลืมที่จะ "อัปเดตนโยบาย" เพิ่มข้อห้ามการเลือกปฏิบัติด้านอายุอย่างชัดเจน และกำหนดช่องทางร้องเรียนที่โปร่งใส

การแก้ปัญหา Ageism ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องกฎหมาย แต่ยังสร้างคุณค่าที่จับต้องได้ ผลสำรวจพบว่า 81% ของพนักงานสูงวัยมองว่าอายุคือข้อได้เปรียบ และ 91% เชื่อว่างานที่ทำมีความหมาย หากองค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากความผูกพันนี้ พร้อมป้องกันการเลือกปฏิบัติ ก็จะได้เปรียบทั้งด้านวัฒนธรรมการทำงานและการรักษาบุคลากร

ในวันที่องค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญกับช่องว่างระหว่างวัยในที่ทำงาน การหากลยุทธ์มาบริหารจัดการคนอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ไม่สูญเสียทั้งคนเก่ง และองค์ความรู้ของบุคลากรรุ่นใหญ่ที่สั่งสมมานาน วิธีที่ดีที่สุดอาจเริ่มจากการสร้างวัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับทุกช่วงวัยเท่าเทียมกัน เพราะสุดท้ายแล้ว “ประสบการณ์” และ “พลังรุ่นใหม่” ไม่ควรเป็นสิ่งที่ต้องเลือกข้าง หากแต่ควรถูกผสานเข้าด้วยกันเพื่อให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน

 

อ้างอิง: WorkLifeNews, ResumeNow