AI Shame ในที่ทำงาน ซีอีโอแอบใช้ AI ไม่บอกใคร กลัวถูกมองว่าไม่เก่ง

AI Shame ในที่ทำงาน ซีอีโอแอบใช้ AI ไม่บอกใคร กลัวถูกมองว่าไม่เก่ง

AI Shame ระบาด! ปรากฏการณ์ใหม่ในที่ทำงาน ผู้บริหารระดับสูงใช้ AI ทำงานมากที่สุด แต่ไม่กล้าเปิดเผย กลัวถูกมองไม่ได้ทำงานเอง ส่วน Gen Z แม้ใช้คล่องแต่กลับไร้การสนับสนุน

KEY

POINTS

  • ปรากฏการณ์ "AI Shame" คือการที่พนักงานจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้บริหารและ Gen Z แอบใช้ AI ช่วยทำงาน แต่ปกปิดเพราะกลัวถูกมองในแง่ลบจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า
  • สาเหตุหลักเกิดจากองค์กรส่วนใหญ่ยังขาดนโยบายและการฝึกอบรมการใช้ AI ที่ชัดเจน ทำให้พนักงานต้องเรียนรู้และใช้งานกันเองอย่างไม่เป็นทางการ 
  • แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่พนักงานก็มีความกังวลสูงว่า AI จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในหน้าที่การงานของตนในอนาคต

ปรากฏการณ์ “AI shame” เขย่าโลกการทำงาน เมื่อผลสำรวจใหม่สะท้อนให้เห็นถึง ความไม่พร้อมด้าน AI ในที่ทำงานสมัยใหม่ที่เผยออกมาอย่างชัดเจน โดยกลุ่มที่ใช้เครื่องมือ AI มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูง (C-suite) หรือคนทำงานรุ่น Gen Z กลับเป็นกลุ่มที่แทบไม่ได้รับคำแนะนำ การฝึกอบรม หรือแม้แต่การอนุมัติให้ใช้งาน AI อย่างเป็นทางการจากบริษัท

ผู้บริหาร 53.4% ยอมรับ แอบใช้ AI เงียบๆ ส่วน Gen Z ก็กังวล

ผลการสำรวจจากรายงาน AI in the Workplace 2025 ของ Walk Me บริษัทในเครือ SAP ซึ่งได้สอบถามพนักงานในสหรัฐกว่า 1,000 คน พบว่า พนักงานเกือบครึ่ง (48.8%) ยอมรับว่าแอบใช้ AI ที่ทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดสินจากสายตาเพื่อนร่วมงาน เป็นที่มาของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “AI shame” หรือความอายที่จะยอมรับการใช้ AI ในองค์กร

โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริหารระดับสูง มากถึง 53.4% ที่ยอมรับว่าปกปิดการใช้ AI แม้จะเป็นผู้ใช้บ่อยที่สุดก็ตาม

ขณะที่คนรุ่น Gen Z เข้าหา AI ทั้งด้วยความตื่นเต้นและด้วยความกังวล ผลสำรวจเผยว่า 62.6% เคยใช้ AI ทำงาน แต่แสร้งว่าทำงานนั้นทำสำเร็จด้วยตนเอง ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดในบรรดาทุกเจนเนอเรชัน

อีกทั้งคนรุ่นใหม่มากกว่าครึ่ง (55.4%) เคยทำเหมือนเข้าใจเรื่อง AI ในการประชุม ทั้งที่ไม่เข้าใจจริง พฤติกรรมนี้ขึ้นอยู่กับบริบท 28.4% พูดเกินจริงเรื่องการใช้ AI กับบางคน ขณะที่ 13.5% เลือกพูดน้อยลงกับบางคน แต่เมื่อถามถึงการฝึกอบรมที่จริงจัง กลับมีเพียง 6.8% ที่ได้รับการฝึกอย่างละเอียด และ 13.5% ไม่ได้รับเลย ถือเป็นอัตราต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับเจนเนอเรชันอื่น

ถึงอย่างนั้น Gen Z ถึง 89.2% ใช้ AI ที่ทำงานด้วยตัวเอง โดยไม่ได้ถูกจัดหามาให้โดยนายจ้างหรือไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ ขณะที่มีเพียง 7.5% ที่เคยได้รับการฝึกอบรมเชิงลึก ซึ่งแทบไม่ต่างจากปี 2024 ที่อยู่ที่ 7.0%

ช่องว่างของการใช้ AI และความย้อนแย้งของผลิตภาพ

ชารอน เบิร์นสไตน์ (Sharon Bernstein) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ Walk me ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Fortune ว่า “บริษัทต่างๆ ยังให้ความรู้เรื่องนี้ไม่มากพอ พวกเขาไม่ค่อยอำนวยความสะดวกให้ใช้งานเครื่องมือ AI อย่างจริงจัง และไม่ได้ฝึกอบรมหรือแนะนำพนักงานอย่างเพียงพอ”

การเข้าถึงการฝึกอบรม AI แตกต่างตามตำแหน่งและขนาดบริษัท โดยมีเพียง 3.7% ของพนักงานระดับเริ่มต้นที่ได้รับการฝึกฝนอย่างจริงจัง เทียบกับ 17.1% ของผู้บริหารระดับสูง ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนถึง “ชนชั้น AI” ที่ผู้ใช้บ่อยที่สุดกลับถูกปล่อยให้เรียนรู้ด้วยตนเอง

แม้ 80% ของพนักงานจะบอกว่า AI ทำให้ตนมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ 59% ก็สารภาพว่าบางครั้งเสียเวลามากกว่าการทำงานเอง Gen Z เป็นกลุ่มที่ลำบากที่สุด โดย 65.3% บอกว่า AI ทำให้ช้าลง และ 68% รู้สึกกดดันว่าต้องทำงานให้ได้มากขึ้น เพราะมี AI เข้ามาเสริม

เกือบหนึ่งในสามกังวลอย่างมากว่า AI จะกระทบต่องานของตน และมีเพียง 45% ของพนักงานรุ่นใหม่ ที่มั่นใจว่าใช้ AI ได้อย่างเชี่ยวชาญ น้อยกว่ามิลเลนเนียล (56.3%) และใกล้เคียงกับ Gen X (43.2%)

ใช้ AI ทำงาน แต่ก็ไม่กล้าบอกใคร ความสับสนในที่ทำงาน

ความแตกต่างเรื่องความพร้อมใช้งาน AI และความอายที่จะยอมรับการใช้ AI กำลังสร้างภาพรวมที่ซับซ้อนและสับสนในที่ทำงาน ตั้งแต่พนักงานระดับเริ่มต้นจนถึงกลุ่มผู้บริหารระดับสูง โดยมากกว่าครึ่งของคนทำงานบอกว่า การฝึกอบรม AI ในองค์กรทำให้รู้สึกเหมือน “ได้งานที่สอง” เพิ่มทั้งความเครียดและชั่วโมงทำงาน แต่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์จริง

ขณะที่งานวิจัยจากสถาบัน MIT เคยเผยว่ากว่า 95% ของโครงการทดลองใช้ Generative AI ในองค์กรขนาดใหญ่ล้มเหลว ก็สะท้อนปัญหาจาก “กระดานวางแผนสู่โต๊ะการทำงานจริง” ได้เช่นกัน

งานวิจัยอีกชิ้นที่ตีพิมพ์โดย มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford) และนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำอย่าง อีริก ไบรญอล์ฟสสัน (Erik Brynjolfsson) ก็พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2022 ที่ Generative AI เริ่มบูม การจ้างงานระดับเริ่มต้นในตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นั่นหมายความว่าทักษะด้าน AI จะมีความสำคัญอย่างมากต่อพนักงานระดับเริ่มต้น แต่ผลสำรวจของวอล์กมีกลับชี้ว่าพวกเขาได้รับการฝึกอบรมน้อยที่สุด

พนักงานกังวลเพิ่มขึ้น บริษัทต้องทำให้คนไม่กลัวที่จะยอมรับว่าใช้ AI 

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ตีคู่กันมานั่นคือ กระแส “Shadow AI”  หมายถึง การที่พนักงานใช้เครื่องมือ AI กันอย่างแพร่หลาย แต่ในฝั่งบริษัทกลับล่าช้าในการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งความไม่สมดุลนี้สะท้อนตั้งแต่ตลาดการเงินที่นักลงทุนกังวลฟองสบู่ AI, มหาวิทยาลัยที่แบนเครื่องมือ AI เพื่อหยุดปัญหาการลอกการบ้าน ลอกข้อสอบ, ไปจนถึงห้องผู้บริหารที่ถูกกดดันให้ปฏิวัติองค์กรด้วย AI

เบิร์นสไตน์ กล่าวในมุมของ HR ว่า ควรกระตุ้นให้บริษัทเปิดเผยอย่างโปร่งใสว่า AI จะถูกนำมาใช้อย่างไร เพื่อไม่ให้พนักงานรู้สึกถูกแทนที่ และในขณะเดียวกันก็ช่วยให้พนักงานใช้ AI ได้อย่างคล่องแคล่ว เธอบอกว่า “สิ่งแรกคือคุณต้องทำให้คนไม่กลัวที่จะยอมรับว่าใช้ AI ฉันไม่คิดว่าเราจะสามารถแทนที่พนักงานได้จริงๆ บางตำแหน่งอาจเป็นไปได้ แต่โดยรวมแล้ว บริษัทควรเน้นการให้ความรู้กับทีมงาน” 

ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงานกำลังพุ่งสูงขึ้น โดย 44.8% ของคนทำงานบอกว่ารู้สึกกังวล และสัดส่วนที่ “กังวลมาก” เพิ่มขึ้นจากปีก่อน Gen Z เป็นกลุ่มที่รู้สึกชัดที่สุด โดย 62.2% กังวลต่ออนาคตการทำงาน และ 28.4% ยอมรับว่ากังวลมากที่สุด

ถึงอย่างนั้น ความหวังก็ยังคงมีอยู่ เพราะ 89.6% ของพนักงานอยากเรียนรู้ AI เพิ่มเติม และ 86% เชื่อว่าความเชี่ยวชาญด้าน AI คือกุญแจสู่ความสำเร็จในอาชีพ ผลสำรวจนี้ชี้ชัดว่า บริษัทจำเป็นต้องเร่งปิดช่องว่างความกล้าๆ กลัวดังกล่าว ด้วยการให้คำแนะนำที่ชัดเจน การฝึกอบรมที่ครอบคลุม และนโยบายที่โปร่งใส มิฉะนั้น องค์กรอาจเผชิญปัญหาความไว้วางใจที่สั่นคลอน ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และสุขภาพจิตพนักงานที่แย่ลง

 

อ้างอิง: FortuneWalkme, shadow AI