พนักงานบริษัทเทคฯ ดัง เผยทำงานแค่วันละ 4 ชม. ที่เหลือแกล้งงานยุ่ง

พนักงานบริษัทเทคฯ ดัง เผยทำงานแค่วันละ 4 ชม. ที่เหลือแกล้งงานยุ่ง

ผลสำรวจ ชี้ พนักงานบริษัทเทคโนโลยีเกือบครึ่ง (45%) ทำงานแค่วันละ 4 ชั่วโมง ส่วนเวลาที่เหลือ แกล้งทำเป็นงานยุ่ง หลายคนเริ่มถามว่าควรทุ่มเทไหม เมื่อบริษัทแห่ปลดคนออก

KEY

POINTS

  • ผลสำรวจจากแพลตฟอร์ม Blind พบว่าพนักงานบริษัทเทคโนโลยีเกือบครึ่ง (45%) ทำงานจริงเพียงวันละ 4 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น
  • พนักงานให้เหตุผลว่า พวกเขาถูกจ้างเพื่อสร้างผลงานให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ใช่เพื่อจำนวนชั่วโมงที่นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์
  • ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำงานจริง พนักงานบางส่วนจะแกล้งทำเป็นยุ่ง หรือที่เรียกว่า “การทำงานเชิงการแสดง” เพื่อให้ดูเหมือนทำงานตลอดเวลา เพราะหลายคนตั้งคำถามว่า ควรทำงานทุ่มเทไหมเมื่อตอนนี้บริษัทแห่ปลดคนออกทั้งที่ไม่เกี่ยวกับผลงาน

ใครจะเชื่อว่า ภาพของพนักงานออฟฟิศนั่งทำงานติดโต๊ะวันละ 8 ชั่วโมงเต็มๆ อาจไม่ใช่ความจริงแท้เสมอไป เพราะในแต่ละวันเราต้องแบ่งเวลาไปกับการพักกลางวัน เปิดอ่านข่าวในมือถือ เช็กโซเชียล ส่งข้อความ เข้าห้องน้ำ หรือ

แม้แต่กรณีการทำงานจากที่บ้าน (Remote work) ก็มักจะมีงานบ้านเข้ามาแทรก ทั้งซักผ้า พาหมาลงไปเดิน หรือใช้เวลากับลูกๆ สิ่งนี้สะท้อนว่า “โมเดลทำงาน 9 to 5 (9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น)” อาจเป็นเพียงมายาคติ ที่สังคมคุ้นเคยมานาน เอาเข้าจริงคงไม่มีใครทำงานได้เต็ม 8 ชั่วโมงเป๊ะ

ผลสำรวจชี้ พนักงานสายเทคฯ เกือบครึ่ง ทำงานจริงไม่เกิน 4 ชั่วโมงต่อวัน

แพลตฟอร์ม Blind ซึ่งเป็นชุมชนออนไลน์แบบไม่ระบุตัวตนสำหรับคนทำงาน ได้ทำการสำรวจผ่านการ "เปิดโพล" เพื่อสอบถามพนักงานกลุ่มตัวอย่างเกือบ 10,000 คนจากหลากหลายอาชีพ ว่า จริงๆ แล้วใช้เวลาทำงานวันละกี่ชั่วโมง โดยผลปรากฏว่าถึง 45% ทำงานจริงเพียง 4 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น

ยกตัวอย่างบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่หลายบริษัท อย่าง Amazon มีพนักงานเข้าร่วมตอบแบบสอบถามนี้กว่า 900 คน และผลสำรวจชี้ว่า มีพนักงานถึง 40% ที่ทำงานไม่เกิน 4 ชั่วโมง ขณะที่ Microsoft ก็พบสูงถึง 43% และ Google พบอยู่ที่ประมาณ 40% ส่วน Meta ซึ่งยังคงให้พนักงานทำงานแบบรีโมท (แต่กำลังจะกลับเข้าสู่ระบบไฮบริด) ก็พบว่ามีพนักงาน 33% ที่ทำงานจริงไม่เกิน 4 ชั่วโมง

ที่น่าสนใจคือ Atlassian บริษัทซอฟต์แวร์ที่เปิดให้พนักงานเลือกว่าจะทำงานจากที่ไหน มีจำนวนพนักงานกว่าครึ่ง (51%) ของผู้ตอบแบบสอบถาม ยอมรับว่า ตนทำงานเพียง 4 ชั่วโมงต่อวันหรือน้อยกว่านั้น

พนักงาน ชี้ ถูกจ้างเพื่อทำผลงานให้บรรลุเป้า ไม่ใช่มานั่งให้ครบชั่วโมง

คอมเมนต์ของพนักงานหลายคนสะท้อนความคิดที่คล้ายกัน เช่น พนักงาน Amazon รายหนึ่งเขียนว่า “เราได้รับเงินเดือนเพราะผลงานที่ทำได้ ไม่ใช่เพราะจำนวนชั่วโมงที่นั่งอยู่หน้าจอ” ขณะที่อีกคนบอกว่า “การคิดสร้างสรรค์ต้องใช้เวลาพัก เพื่อให้สมองแล่นและได้ปลดปล่อยไอเดียเต็มที่ อาจเป็นการเดินเล่น อาบน้ำ หรือดื่มกาแฟ”

ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์ม Blind เท่านั้นที่เจอข้อมูลนี้ แต่เว็บไซต์หางานอย่าง Zippia ก็เคยทำการสำรวจเรื่องนี้กับพนักงานกว่า 1,000 คน และพบผลลัพธ์คล้ายๆ กัน นั่นคือ โดยเฉลี่ยแล้วคนทำงานจริงเพียง 4 ชั่วโมง 12 นาทีต่อวัน ที่เหลือมักจะไปกับการเล่นอินเทอร์เน็ต (47%) หรือทำกิจกรรมอื่นๆ

แคธี มอร์ริส (Kathy Morris) ผู้ทำวิจัยจาก Zippia แสดงความเห็นที่ตอกย้ำผลวิจัยว่า “แทบไม่มีใครที่ทำงานได้เต็ม 100% ตลอดวันทำงาน”

ทำงานแค่ 4 ชม. เวลาที่เหลือ "แกล้งทำงาน" ให้ดูยุ่ง ? 

ในสำนักงาน หลายครั้งพนักงานมักทำตัวให้ “ดูยุ่งตลอดเวลา” เช่น เข้าประชุมซ้ำซ้อนเพื่อแสดงให้เห็นว่ากำลังทำงานจริงๆ ริก เชน (Rick Chen) ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Blind อธิบายว่า บรรยากาศในออฟฟิศอาจสร้างสิ่งที่เรียกว่า “การทำงานเชิงการแสดง” ซึ่งไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเลย

ในยุคการทำงานทางไกลหรือทำงานที่บ้าน หลายบริษัทเลือกใช้ซอฟต์แวร์สอดส่องพนักงาน เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานใช้เวลา 8 ชั่วโมงเต็มไปกับการทำงาน ผลการสำรวจของนิวยอร์กไทมส์เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 พบว่านายจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุด 8 ใน 10 แห่งของสหรัฐอเมริกา มีการติดตามประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานแต่ละคน แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับเห็นว่าการวัดผลลักษณะนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด

โดยข้อมูลของ Atlassian ชี้ว่า ลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ทำงานวันละราว 7 ชั่วโมง แต่พนักงาน Atlassian เอง กลับทำงานนานกว่า 8 ชั่วโมง คือ ทำงานล่วงเวลาเล็กน้อย แต่มีเวลาสลับพักบ่อยๆ ในระหว่างวันทำงาน บางครั้งยืดเวลาเลิกงานไปถึงช่วงค่ำ หรือแม้แต่ทำงานสุดสัปดาห์บ้างบางครั้ง

แอนนี ดีน (Annie Dean) หัวหน้าทีม Team Anywhere ของ Atlassian อธิบายว่า หลายคนเลือกแบ่งงานออกเป็นช่วงๆ สลับกับการพัก เพื่อให้สามารถจัดสมดุลชีวิตกับงานได้ เช่น ใช้เวลาระหว่างวันไปรับลูก หรือไปนัดพบแพทย์ ก่อนกลับมาทำงานต่อในช่วงค่ำ

แต่นักวิชาการบางคนกังวลว่า “ความยืดหยุ่น” อาจกลายเป็นดาบสองคม โดย มาลิสซา คลาร์ก (Malissa Clark) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยจอร์เจียมองว่า สิ่งนี้ทำให้เส้นแบ่งระหว่างบ้านกับที่ทำงานหายไป และอาจสร้างนิสัยการทำงานที่ไม่ดีในระยะยาว

คุณค่าของงาน วัดจากชั่วโมงหรือผลงาน ? เมื่อโลกการทำงานกำลังเปลี่ยนไป 

ในขณะที่บางบริษัทอย่าง Atlassian เลือกเน้นเป้าหมายและผลลัพธ์ มากกว่าการจับตาดูจำนวนชั่วโมง ซึ่งหัวหน้าทีมของ Atlassian ชี้ว่า การใช้เวลาสมาธิ 4-5 ชั่วโมงกับงานยากที่สุดในแต่ละวัน ก็มากพอที่จะดึงศักยภาพสูงสุดออกมาแล้ว

คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ถ้าพนักงานทำงานเสร็จในเวลาสั้นกว่า ควรปล่อยให้เขาหยุดได้หรือไม่? หรือจะถูกมองว่าเป็น “quiet quitting” ที่ทำงานแค่พอเอาตัวรอด?

ปัจจัยอื่นก็มีผลเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกระแสเลิกจ้าง (layoffs) ที่บั่นทอนขวัญกำลังใจ กระแส acting your wage ที่ทำงานตามค่าจ้างที่ได้รับ หรือแม้แต่ AI ที่ช่วยจัดการงานจุกจิกแทนคน

ริก เชน จาก Blind สะท้อนความเห็นว่า พนักงานหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “ทุ่มทำงานหนักขึ้นจะคุ้มค่าหรือไม่” เพราะการเลิกจ้างในบริษัทใหญ่ๆ มักไม่ได้เกิดจากผลงานแย่ แต่เป็นการตัดสินใจเชิงธุรกิจ ทำให้ความจงรักภักดีต่อองค์กรลดลง

แม้จะมีการถกเถียงเรื่องสัปดาห์ทำงาน 4 วัน หรือวันละ 6 ชั่วโมงมานาน แต่ความคิดว่าพนักงานต้องทำงานครบ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็ยังคงอยู่

คลาร์ก ทิ้งท้ายว่า ถึงเวลาแล้วที่ทั้งบริษัทและสังคมต้องเลิกยึดติดกับจำนวนชั่วโมงทำงานเป็นหลัก เพราะเทคโนโลยีทำให้ทุกอย่างรวดเร็วกว่าเดิมมาก “เมื่อ 50 ปีก่อนยังไม่มีอีเมล ทุกอย่างต้องใช้เครื่องพิมพ์ดีด แต่ตอนนี้เรามีทั้งดิจิทัลและ AI ที่ช่วยให้ทำงานเสร็จได้เร็วขึ้น”

 

อ้างอิง: WorkLifeNews, Microsoft, NewYorktimeszippia