‘Facekini’ แฟชั่นสุดล้ำป้องกันแดดสู้ร้อนสุดฮอตในจีน

‘Facekini’ แฟชั่นสุดล้ำป้องกันแดดสู้ร้อนสุดฮอตในจีน

ท่ามกลางอากาศร้อนระอุชาวจีนแห่ใช้ “Facekini” หน้ากากกันแดดแบบเต็มหน้า กลายเป็นแฟชั่นสุดล้ำที่ทั้งปกป้องผิวและสร้างสไตล์ในซัมเมอร์ และแน่นอนว่า รัฐบาลไม่ปลื้ม!

KEY

POINTS

  • "เฟซกินี่" คือหน้ากากกันแดดเต็มใบหน้าที่กำลังเป็นกระแสในประเทศจีน เพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดและป้องกันรังสียูวี
  • ความนิยมของเฟซกินี่มีปัจจัยหลักมาจากสภาพอากาศที่ร้อนรุนแรงเป็นประวัติการณ์ และค่านิยมความงามเรื่องผิวขาวในวัฒนธรรมจีน
  • เดิมทีเฟซกินี่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในเมืองชิงเต่าเพื่อป้องกันแดดและแมงกะพรุน แต่ปัจจุบันได้พัฒนากลายเป็นสินค้าแฟชั่นสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีหลากหลายดีไซน์
  • เฟซกินี่เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมสินค้าป้องกันรังสียูวี (UV-wear) ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในจีน ซึ่งมียอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ฤดูร้อนที่อุณหภูมิทะลุ 35 องศาเซลเซียสขึ้นไป แม้คนไทยอย่างเราๆ อาจฟังแล้วว่า เฉยๆ แต่แดดในประเทศจีน ไม่ได้แค่ร้อนธรรมดา แต่ “แผดเผา” ถึงขั้นพื้นผิวถนนวัดได้กว่า 80 องศาเลยทีเดียว

ท่ามกลางสภาพอากาศสุดขีดนี้เอง ได้เกิดปรากฏการณ์แฟชั่นสุดล้ำที่เรียกว่า “เฟซกินี่” (Facekini) ขึ้นมาครองใจผู้คน จนกลายเป็นกระแสที่ทั่วโลกให้ความสนใจ

กรุงเทพธุรกิจ จะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับแฟชั่นกันแดดสุดฮอต ที่แม้หน้าตาจะดูแปลกตา แต่กลับสะท้อนทั้งวัฒนธรรม ความงาม และการใช้ชีวิตของชาวจีนยุคใหม่ได้อย่างน่าสนใจ

‘Facekini’ แฟชั่นสุดล้ำป้องกันแดดสู้ร้อนสุดฮอตในจีน

Facekini คืออะไร?

Facekini (เฟซกินี่) คือ หน้ากากกันแดดเต็มหน้า ที่ทำจากผ้ายืดอย่าง สแปนเด็กซ์ หรือ ไนลอน คลุมตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงลำคอ มีเพียงช่องสำหรับตา จมูก และปาก ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันรังสี UV โดยเฉพาะ

เฟซกินี่ ถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อกว่าทศวรรษที่แล้วโดยชาวบ้านในเมืองชิงเต่า มณฑลซานตง ซึ่งเป็นเมืองท่าชายทะเลที่มีชื่อเสียงด้านชายหาดสวยงาม เดิมทีถูกใช้โดยกลุ่มผู้หญิงสูงวัยที่ไปทะเลและต้องการหลีกเลี่ยงการถูกแดดเผาขณะว่ายน้ำ

แม้หน้าตาจะดูคล้ายหมวกนักมวยปล้ำผสมกับชุดสกี หรือ 'หมวกไอ้โม่ง' แต่ประโยชน์หลักคือ ช่วยให้ผิวไม่คล้ำ ไม่ไหม้แดด และยังกันแมงกะพรุนที่อาจมากัดผิวได้อีกด้วย

ปัจจุบัน เฟซกินี่ ได้พัฒนากลายเป็นสินค้าแฟชั่นที่ผู้บริโภครุ่นใหม่นิยมซื้อ มีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่สีทึบธรรมดา ไปจนถึงลวดลายที่โดดเด่นสะดุดตา ชวนให้นึกถึงรันเวย์ของ Balenciaga

ราคาของเฟซกินี่มีตั้งแต่ไม่กี่ดอลลาร์ไปจนถึงเกือบ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1,600 บาท

ทำไม Facekini ถึงฮิต?

เหตุผลสำคัญมีสองประการหลักๆ ดังนี้:

  • อากาศร้อนปรอทแตก: อากาศที่ร้อนจัดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ผู้คนต้องหาทางปกป้องตัวเองจากแสงแดดและความร้อนที่แผดเผา
  • ค่านิยมผิวขาวใส: สำหรับผู้หญิงในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะในจีน การมีผิวที่กระจ่างใส ถือเป็นอุดมคติแห่งความงาม พวกเธอต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาผิวที่เกิดจากแสงแดด ไม่ว่าจะเป็นจุดด่างดำ ฝ้า กระ หรือโรคผิวหนังต่างๆ ค่านิยมนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่หยั่งรากลึกมาตั้งแต่หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่สีผิวกลายเป็นเครื่องบ่งบอกสถานะทางสังคม

‘Facekini’ แฟชั่นสุดล้ำป้องกันแดดสู้ร้อนสุดฮอตในจีน

ไม่ใช่แค่หน้ากาก แต่เป็นเทรนด์ป้องกัน UV ครบวงจร

เฟซกินี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ อุตสาหกรรมสินค้าป้องกันรังสียูวี (UV-wear) ที่เฟื่องฟูอย่างมากในจีน ผู้คนไม่ได้สวมแค่เฟซกินี่เท่านั้น แต่ยังนิยม:

  • หมวกปีกกว้าง
  • เสื้อแขนยาวป้องกัน UV และ แจ็คเก็ตน้ำหนักเบาทำจากผ้ากัน UV
  • พัดลมพกพา และ หมวกที่มีพัดลมในตัว
  • ปลอกแขนกัน UV ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชาย
  • ร่มกัน UV และ ที่บังแดดติดกระจกหน้าที่ลาดลงมาบังใบหน้าที่ผู้หญิงจีนหลายคนพกติดตัวเป็นประจำ

ยอดขายสินค้าป้องกันรังสียูวีในจีนพุ่งสูงถึงประมาณ 8 หมื่นล้านหยวน หรือราว 3.63 แสนล้านบาท ในปี 2024

โดยยอดขายเฟซกินี่สำหรับผู้หญิงเพิ่มขึ้นประมาณ 50% และปลอกแขนกัน UV ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชาย มียอดขายเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า

บริษัทต่างๆ ก็ไม่รอช้าที่จะเข้ามาคว้าโอกาสนี้ เช่น Beneunder แบรนด์ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากเทรนด์นี้ และแบรนด์กีฬาจีนอื่นๆอย่าง Anta และ Li-Ning ก็เริ่มหันมาผลิตสินค้าประเภทเดียวกันด้วย

แม้แต่การระบาดของโควิด-19 และการสวมหน้ากากอนามัยอย่างแพร่หลาย ก็ยังช่วยขยายความนิยมของเฟซกินี่ออกไปสู่กลุ่มคนวงกว้างมากขึ้น ปัจจุบันผู้คนต้องการหน้ากากที่เข้ากับชุดทำงานหรืออุปกรณ์เอาท์ดอร์ของพวกเขาด้วยซ้ำ

เฟซกินี่: วิถีชีวิตและแฟชั่นที่สร้างความประหลาดใจ

ในเมืองชิงเต่า เฟซกินี่ ไม่ใช่แค่เทรนด์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เป็น “วิถีชีวิต” ของคนจำนวนมาก ภาพผู้คนสวมเฟซกินี่อยู่ริมชายหาด หรือแม้แต่ถอดออกชั่วขณะเพื่อกินแตงโมฉ่ำๆ แล้วรีบสวมกลับเข้าไปใหม่ แสดงให้เห็นว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันไปแล้ว

แม้ พรรคคอมมิวนิสต์จีน จะแสดงความไม่พอใจกับเทรนด์นี้ โดยอ้างถึง "ความวิตกกังวลในการป้องกันแสงแดด" แต่เฟซกินี่ก็ยังคงเป็นแฟชั่นที่น่าสนใจและสร้างความตื่นตาตื่นใจไปทั่วโลก เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้คนเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และการให้ความสำคัญกับค่านิยมความงามที่หยั่งรากลึกในวัฒนธรรม

หากคุณกำลังมองหาสินค้าแฟชั่นที่ผสมผสานระหว่างประโยชน์ใช้สอย ความล้ำสมัย และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ เฟซกินี่จากจีนก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว

 

อ้างอิง vogue , economist , theguardian , amazon