วิกฤติที่ทำงาน Toxic ดัชนีความสุภาพลดลง กดบริษัทกำไรหาย 2 พันล้าน

วิกฤติที่ทำงาน Toxic ดัชนีความสุภาพลดลง กดบริษัทกำไรหาย 2 พันล้าน

งานวิจัยชี้ “ความไม่สุภาพ” และความ Toxic ในที่ทำงานสหรัฐฯ พุ่ง 208 ล้านครั้งต่อวัน ทำคนรู้สึกแย่ ไม่อยากมาทำงาน ส่งผลบริษัทกำไรหาย 2 พันล้านดอลลาร์

KEY

POINTS

  • Toxic Workplace ซึ่งเกิดจากความไม่สุภาพในออฟฟิศ กำลังเพิ่มขึ้น และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ โดยทำให้บริษัทต่างๆ สูญเสียประสิทธิภาพการทำงานคิดเป็นมูลค่ากว่า 2.1 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน
  • ข้อมูลจาก "ดัชนีความสุภาพในที่ทำงาน" (Civility Index) ในสหรัฐฯ ยืนยันว่า ความไม่สุภาพในที่ทำงานพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อขวัญกำลังใจและความปลอดภัยทางจิตใจของพนักงาน
  • สาเหตุหลักของวิกฤตินี้มาจากความเครียดสะสมจากโควิด-19, ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม และพฤติกรรม "digital bravery" หรือความก้าวร้าวบนโลกออนไลน์ที่ลามเข้ามาในที่ทำงาน
  • แนวทางแก้ไขคือการสร้าง "ความชัดเจนทางวัฒนธรรม" โดยผู้นำองค์กรต้องกำหนดพฤติกรรมที่ยอมรับได้ และลงทุนในการฝึกอบรมด้านการสื่อสารเพื่อลดความขัดแย้ง

งานวิจัยล่าสุดเผยว่า “ความไม่สุภาพ” ในที่ทำงาน ตัวการผลักให้เกิด Toxic Workplace ซึ่งกำลังกลายเป็นภัยเงียบที่ทำให้องค์กรธุรกิจสูญเสียเงินมหาศาล โดยความหยาบคายที่มักพบเจอได้ที่ออฟฟิศยุคนี้ มีตั้งแต่การสื่อสารผ่านอีเมลที่สั้นห้วน การพูดจาเหน็บแนม ไปจนถึงการแสดงออกอย่างก้าวร้าวในกลุ่มพนักงานด้วยกัน กำลังทำให้บริษัทสูญเสียผลผลิตและประสิทธิภาพการทำงานรวมกว่า 2.1 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน หรือราวๆ 6.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียง “เรื่องเล็กน้อย” แต่สะท้อนถึงวัฒนธรรมการทำงานเป็นพิษ และท้ายที่สุดก็กระทบต่อกำไรของบริษัทโดยตรง

ความไม่สุภาพในออฟฟิศ Toxic ที่ทำงาน พุ่งแตะระดับสูงสุด

รายงานจาก สมาคมการจัดการทรัพยากรบุคคลแห่งสหรัฐฯ (SHRM) เผยข้อมูลจาก “ดัชนีความสุภาพในที่ทำงาน” (Civility Index) ว่าพนักงานอเมริกันต้องเผชิญการกระทำที่ไม่สุภาพรวมกันมากถึง 208 ล้านครั้งต่อวัน ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจาก 198 ล้านครั้งในไตรมาสก่อนหน้า และยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งสหรัฐในปี 2024

ความไม่สุภาพเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่พฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น การส่งอีเมลแบบสั้นห้วน หรือการพูดตอบโต้กันด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ไปจนถึงความขัดแย้งรุนแรงที่สร้างบรรยากาศกดดันในที่ทำงาน และสิ่งที่ตามมาคือ การลาป่วยบ่อยขึ้น, ขวัญกำลังใจพนักงานที่ตกต่ำ และประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงอย่างมาก

จิม ลิงค์ (Jim Link), ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ SHRM เปิดเผยว่า “ตัวเลขที่เราเห็นชัดเจนมากจากความหยาบคายและสภาพที่ทำงานเป็นพิษ ก็คือ การสูญเสียผลผลิตที่คิดเป็นมูลค่า 2.1 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน

ทำไมความหยาบคายถึงเพิ่มขึ้นในที่ทำงานยุคนี้?

นักวิจัยของ SHRM ชี้ว่า การเพิ่มขึ้นของ “ความไม่สุภาพ” มีรากเหง้ามาจากหลายปัจจัยผสมผสานกัน ไม่ว่าจะเป็น
- ความตึงเครียดที่สั่งสมจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
- ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมในสหรัฐฯ
- สิ่งที่ SHRM เรียกว่า “digital bravery” หรือ “นักเลงคีย์บอร์ดบนโลกออนไลน์”

ลิงค์อธิบายว่า digital bravery คือความรู้สึกที่คนกล้าพิมพ์หรือกล้าพูด ในสิ่งที่แรงกว่าปกติเมื่ออยู่หลังหน้าจอ และพฤติกรรมนี้กำลังรุกคืบเข้ามาในที่ทำงานด้วย ทำให้เกิดการถกเถียงทางการเมืองหรือประเด็นสังคมต่างๆ บ่อยครั้งบานปลายจนกลายเป็นความขัดแย้งในที่ทำงาน

“คนรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิพูดอะไรก็ได้กับใครก็ได้ในโลกออนไลน์ และทัศนคตินี้อาจค่อยๆ ซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมการทำงานด้วย” นักวิจัยของ SHRM อธิบาย

1 ใน 3 ของพนักงาน ยอมรับ งานปัจจุบันมีความเครียดสูง

ผลการวิจัยยังพบด้วยว่า ความไม่สุภาพในที่ทำงานส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยทางจิตใจ (psychological safety) ซึ่งเป็นหัวใจของการทำงานแบบทีม เมื่อบรรยากาศเต็มไปด้วยการเหน็บแนม และความไม่ไว้ใจกัน ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ

1. ทีมมีความสามัคคีน้อยลง
2. การทำงานด้านความหลากหลายและการมีส่วนร่วมแย่ลง
3. พนักงานรู้สึกไม่มั่นใจในการแสดงความคิดเห็น

โดยมากกว่า 1 ใน 3 ของพนักงานกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ยอมรับว่า งานของตนก่อให้เกิดความเครียดในระดับสูง และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือผู้หญิง คนรุ่นใหม่ และพนักงานที่มาจากความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งคะแนนด้าน “สุขภาวะ” (well-being) อยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างชัดเจน

ลิงค์ยังเสริมว่า ในช่วงโควิด คะแนนสุขภาวะของพนักงานดิ่งลงต่ำสุด ก่อนจะกระเตื้องขึ้นในปี 2021 ซึ่งเขาเรียกสิ่งนี้ว่า “ความสุขจากวัคซีน” (ผู้คนฉีดวัคซีนป้องกันโควิดแล้วออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ได้เหมือนเดิม) แต่หลังจากนั้น คะแนนกลับทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และไม่ฟื้นตัวอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง

วัฒนธรรมองค์กรที่ดี มีความเห็นอกเห็นใจกัน คือทางออก!

SHRM เน้นย้ำว่า การแก้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การออกคำสั่งห้ามพูดเรื่องอ่อนไหว (เช่น การเมือง ศาสนา การเหยียดเพศ) หรือหลีกเลี่ยงการถกเถียง แต่คือการสร้าง “ความชัดเจนทางวัฒนธรรม” (cultural clarity) ให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่า อะไรคือพฤติกรรมที่ยอมรับได้ และอะไรไม่ใช่

ลิงค์ยกตัวอย่างว่า หลายครั้งสิ่งที่ถูกพนักงานบางคนมองว่าเป็น “ความหยาบคาย” อาจเป็นเพียงแค่การส่งอีเมลสั้นๆ ที่ตรงไปตรงมา ซึ่งจริงๆ แล้วถือว่าเป็นการสื่อสารปกติในธุรกิจ สิ่งที่ทำให้เกิดการ “ตีความต่างกัน” จึงไม่ใช่เจตนาของผู้เขียน แต่เป็นบรรยากาศและวัฒนธรรมขององค์กรนั้นๆ มากกว่า 

“วัฒนธรรมและผู้นำ คือหัวใจสำคัญของทีมงานที่แข็งแกร่ง” ลิงค์กล่าว “เมื่อซีอีโอหรือผู้บริหารระดับสูงระบุชัดเจนว่า วัฒนธรรมองค์กรคาดหวังพฤติกรรมแบบใด ทุกคนก็จะมีมาตรฐานเดียวกัน ลดความสับสน และทำให้ทำงานร่วมกันได้ราบรื่นมากขึ้น”

SHRM แนะนำให้องค์กรลงทุนในการฝึกอบรมด้านการสื่อสาร เช่น การฟังอย่างตั้งใจ (active listening) และการสื่อสารอย่างสุภาพ เพื่อเปลี่ยนจากบรรยากาศการโต้เถียงไปสู่การสนทนาเชิงสร้างสรรค์แทน

โดยสรุปคือ แม้พฤติกรรมที่ไม่สุภาพจะดูเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ แต่หากเกิดขึ้นซ้ำๆ ในวงกว้างไปทั่วองค์กร ก็อาจนำไปสู่การเพิ่มต้นทุนทางธุรกิจมหาศาล ทั้งด้านผลผลิต ความพึงพอใจของพนักงาน และชื่อเสียงองค์กร ดังนั้นกุญแจสำคัญที่จะไขปัญหานี้ได้ จึงอยู่ที่วัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจน เป็นเครื่องมือในการป้องกันที่ทำงานไม่ให้กลายเป็น “Toxic Workplace” และช่วยให้องค์กรรักษาทั้งกำไรและบุคลากรไปพร้อมกัน

 

อ้างอิง: Fotune, SHRM.orgmiami.edu