เกษียณ 45+ ไม่ใช่จุดจบ 6 เคล็ดลับพนักงานประจำ เตรียมสู่ฟรีแลนซ์

เกษียณ 45+ ไม่ใช่จุดจบ 6 เคล็ดลับพนักงานประจำ เตรียมสู่ฟรีแลนซ์

โดน Lay off แล้วไม่รู้จะเริ่มต้นใหม่ยังไง อย่าเพิ่งท้อ! เปิด 6 เทคนิค ที่ช่วยเปลี่ยนผ่านจากงานประจำสู่ฟรีแลนซ์อย่างมืออาชีพ พลิกสู่เส้นทางอาชีพใหม่ไปต่ออย่างมั่นคง

KEY

POINTS

  • เตรียมความพร้อมด้านการเงิน โดยสำรองเงินสดสำหรับค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 6 เดือน และจัดการธุรกรรมสำคัญ เช่น การขอสินเชื่อหรือทำบัตรเครดิตให้เรียบร้อยก่อนลาออก
  • วางแผนเรื่องประกัน และสวัสดิการด้วยตนเอง เช่น การทำประกันสุขภาพ และอุบัติเหตุ หรือการสมัครประกันสังคมมาตรา 39/40 เนื่องจากไม่มีสวัสดิการเหมือนพนักงานประจำ
  • จัดทำพอร์ตโฟลิโอ และเรซูเม่ที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดลูกค้า พร้อมรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับที่ทำงานเก่าซึ่งอาจกลายเป็นคอนเนกชันหรือลูกค้าในอนาคต
  • ลงทุนในอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงานที่บ้านให้พร้อม เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และราบรื่น

โลกการทำงานในปี 2025 เป็นอีกปีที่หลายบริษัทเลย์ออฟพนักงานกันฉ่ำ บางแห่งปลดคนออกเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเปิดโครงการให้สมัครใจลาออกตั้งแต่อายุ 45 ปี ซึ่งถือว่าอายุน้อยมากสำหรับการเกษียณก่อนเวลาเมื่อเทียบตามเกณฑ์ดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม หนทางในการทำงาน และสร้างรายได้ต่อไปยังมีอยู่ หนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจคือ การมุ่งสู่เส้นทางการเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคงไม่แพ้งานประจำ

แม้ภาพจำของการเป็นฟรีแลนซ์อาจดูดีมีชีวิตอิสระ ไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้านาย ออกแบบเวลางานเองได้ บริหารจัดการงานเองได้ ทำงานได้ที่บ้าน และเป็นนายตัวเอง แต่รู้หรือไม่? ชีวิตจริงของการเป็นฟรีแลนซ์นั้น "ไม่ง่ายอย่างที่คิด" และมีหลายสิ่งที่ต้องแบกรับไม่ต่างจากการทำงานประจำ บางอย่างอาจหนักกว่าด้วยซ้ำ

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่ถูก Lay Off ออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน และกำลังมองหาทางเลือกใหม่ หรือเป็นผู้ที่มีงานประจำอยู่แล้วแต่อยากพลิกเส้นทางสู่การเป็นฟรีแลนซ์ก็ตาม ควรรู้ไว้ว่า การทำงานอิสระต้องมีการเตรียมตัวให้ดี มีข้อควรระวัง ข้อควรรู้ และคำแนะนำในหลายมิติ เพื่อให้ประสบความสำเร็จ และมีอิสรภาพทางการเงินไปพร้อมกัน

เปิดโลก 'มนุษย์ฟรีแลนซ์' ความเป็นจริงที่ต้องรู้

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า เส้นทางสายอาชีพแบบฟรีแลนซ์นั้นไม่ง่าย คุณจะต้องเผชิญกับหลายความท้าทายหลายมิติ ..และนี่คือ สิ่งที่คุณต้องรู้ และเตรียมพร้อมก่อน หากอยากเป็นฟรีแลนซ์จริงๆ 

1. ต้องมีฝีมือ และพัฒนาตนเองเสมอ : การเป็นฟรีแลนซ์ให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องมีฝีมือ และหมั่นพัฒนาความสามารถอยู่เสมอ เพื่อให้โดดเด่นและเป็นที่ต้องการของลูกค้าในตลาดฟรีแลนซ์ที่มีการแข่งขันสูง

2. ต้องมีวินัยเป็นเลิศ : แม้จะทำงานตอนไหนก็ได้ แต่ฟรีแลนซ์ก็มีกำหนดส่งงาน (เดดไลน์) ที่เข้มงวด หากขาดวินัย ก็อาจไม่เหมาะกับอาชีพนี้ เพราะการส่งงานไม่ทันหรือถูกตามงานบ่อยครั้ง จะทำให้ยากต่อการหาลูกค้าประจำหรือสร้างคอนเนกชันที่ดีได้

3. ต้องขยัน : ฟรีแลนซ์ไม่มีเงินเดือนประจำหรือโบนัส ดังนั้นยิ่งรับงานมากเท่าไร ก็จะได้เงินมากเท่านั้น นอกจากนี้ การขยันรับงานยังช่วยสร้างคอนเนกชันซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อฟรีแลนซ์ แต่ก็ควรเลือกรับงาน และบริหารเดดไลน์ให้ดีเพื่อไม่ให้เหนื่อยเกินไป หรือป้องกันงานไม่เสร็จตามกำหนด

4. เจ็บป่วยมาต้องจ่ายเอง : ฟรีแลนซ์ไม่มีเงินเดือน ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีประกันสังคม และไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เหมือนพนักงานประจำ ทุกอย่างต้องบริหารจัดการ และจ่ายเองทั้งหมด นอกจากนี้ รายได้ของฟรีแลนซ์ยังมีความไม่แน่นอน คาดเดาได้ยาก

6 ข้อเตรียมตัวสู่ฟรีแลนซ์ที่อยู่รอดได้มั่นคง ท่ามกลางวิกฤติเลย์ออฟ

เมื่อรู้แล้วว่าการเป็นฟรีแลนซ์ จะต้องรับผิดชอบตัวเองอย่างไร และมีความแตกต่างจากพนักงานประจำแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องการบริหารรายรับรายจ่าย และค่ารักษาตัวเองยามเจ็บป่วยต่างๆ หากรับเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ถัดมาก็มีคำแนะนำ เคล็ดลับ และวิธีเตรียมตัวเปลี่ยนผ่านจากมนุษย์เงินเดือนสู่ฟรีแลนซ์ให้ราบรื่น ดังนี้ 

1. เตรียมเงินสดสำรองให้อยู่ได้อย่างน้อย 6 เดือน

ในช่วงแรกของการเป็นฟรีแลนซ์ โดยเฉพาะในเดือนแรกๆ คุณอาจมีฐานลูกค้าไม่มาก งานน้อย และคอนเนกชันยังไม่แน่น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเตรียมเงินสดสำรอง ซึ่งควรแยกจากบัญชีเงินเก็บทั่วไป โดยวางแผนให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่างๆ อย่างน้อย 6 เดือน เพื่อให้คุณสามารถอยู่รอดได้ในช่วงที่ยังไม่มีงานเข้ามามากนัก นอกจากนี้ ควรเตรียมเงินสภาพคล่องเพิ่มเติมเผื่อไว้ สำหรับหมุนเวียนในธุรกิจอีกส่วนหนึ่งด้วย

2. จัดการธุรกรรมทางการเงินให้เรียบร้อยก่อนลาออก

การมีรายได้ไม่สม่ำเสมอ และคาดเดาได้ยากในฐานะฟรีแลนซ์ จะทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินบางอย่างเป็นเรื่องยากขึ้น ดังนั้น ก่อนลาออกจากงานประจำ ควรดำเนินการทำบัตรเครดิต หรือการขอกู้เงินต่างๆ ให้เรียบร้อย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการถูกธนาคารปฏิเสธในภายหลัง

หากต้องการสร้างเครดิตทางการเงินในฐานะฟรีแลนซ์ แนะนำให้เปิดบัญชีเงินฝาก และฝากเงินเข้าบัญชีนั้นอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน เพื่อแสดงให้เห็นถึงวินัย และการวางแผนเก็บเงิน ซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกรรมต่างๆ ง่ายขึ้น สิ่งสำคัญคือ ต้องทำความเข้าใจเรื่องกำหนดชำระภาษี สวัสดิการด้านสุขภาพที่จำเป็น และงบประมาณรายเดือนของคุณด้วย

3. ทำประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ

เมื่อเป็นฟรีแลนซ์แล้ว ค่ารักษาพยาบาลทุกอย่างต้องจ่ายเอง ดังนั้น ก่อนลาออก ควรทำประกันทั้งสุขภาพ และอุบัติเหตุ รวมถึงพิจารณาสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 สำหรับฟรีแลนซ์ หรือ มาตรา 39 (ออกจากมาตรา 33 ของพนักงานประจำ) เพื่อรับความคุ้มครองต่อเนื่องใน 6 สิทธิ ได้แก่ เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์บุตร และชราภาพ

การมีประกันรองรับจะช่วยให้อุ่นใจ ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเพียงลำพัง หรือต้องควักเงินสำรองไปจ่ายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน การวางแผนออมเงินเพื่อการเกษียณก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน แม้ฟรีแลนซ์จะไม่มีเครื่องมือออมเงินภาคบังคับหรือนายจ้างช่วยออม แต่คุณสามารถเลือกออมผ่านกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ได้ เพื่อประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีด้วย

4. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัท และเพื่อนร่วมงาน

แม้จะลาออกจากที่ทำงานเก่าไปแล้ว แต่สายสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า คู่ค้า หัวหน้างาน หรือผู้บริหารยังคงเป็นคอนเนกชันที่สำคัญอย่างยิ่ง หากคุณเคยทำงานได้ดี มีวินัย และสม่ำเสมอในออฟฟิศ บุคคลเหล่านี้อาจกลายมาเป็นลูกค้าของคุณในอนาคตได้ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดี และจริงใจไว้จะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อคุณออกมาเป็นฟรีแลนซ์ นอกจากนี้ คุณควรแจ้งให้คนในเครือข่ายของคุณทราบว่าคุณพร้อมรับโอกาสงานฟรีแลนซ์ และระบุประเภทของงานที่คุณมองหาอย่างชัดเจน

5. เตรียมพอร์ตนำเสนองาน และประวัติส่วนตัว

สิ่งที่จะทำให้คุณได้งานคือ Portfolio ที่โดดเด่น และเรซูเม่ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ในพอร์ตควรใส่ผลงานที่น่าสนใจ ทักษะความสามารถ โปรแกรมที่ถนัด และช่องทางการติดต่อ แล้วนำไปฝากไว้ในเว็บไซต์หางานฟรีแลนซ์หรือเพจเฟซบุ๊กรับสมัครงานต่างๆ

หากเป็นสายงานศิลปะ การสร้างโซเชียลมีเดียสำหรับรวบรวมผลงานโดยเฉพาะก็สามารถดึงดูดลูกค้าได้ เรซูเม่ควรปรับให้เข้ากับลูกค้าที่คุณต้องการ โดยเน้นย้ำทักษะที่ดีที่สุดของคุณ การหมั่นอัปเดตพอร์ต และเรซูเม่ด้วยทักษะใหม่ๆ จะช่วยให้คุณโดดเด่น นอกจากนี้ คุณยังต้อง สร้างแบรนด์ส่วนตัว ที่สะท้อนบุคลิกภาพ ค่านิยม และเป้าหมายของคุณ เพื่อสร้างความแตกต่างจากฟรีแลนซ์คนอื่นๆ ด้วย

6. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมทำงานที่บ้าน

ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่ทำงานที่บ้าน ซึ่งอุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ อาจจะไม่พร้อมเท่ากับการทำงานที่ออฟฟิศ ดังนั้น การกันเงินออกมาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์การทำงานที่บ้าน ก็เป็นเรื่องจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงาน เก้าอี้ โน้ตบุ๊ก เมาส์ คีย์บอร์ด เครื่องปริ้นเตอร์ ฯลฯ การมีอุปกรณ์ที่ดีไม่เพียงช่วยให้งานมีประสิทธิภาพ และลื่นไหล แต่ยังช่วยให้คุณมี Productivity เพิ่มขึ้นด้วย

การเปลี่ยนผ่านจากพนักงานประจำสู่เส้นทางมนุษย์ฟรีแลนซ์ หรือการเริ่มต้นอาชีพฟรีแลนซ์หลังถูกเลย์ออฟ เป็นโอกาสที่ดีในการกำหนดเส้นทางอาชีพด้วยตัวเอง แต่ต้องอาศัยการเตรียมตัวอย่างรอบด้าน ทั้งด้านทักษะ การเงิน การสร้างเครือข่าย และการบริหารจัดการตนเอง เพื่อให้สามารถมีอิสระทั้งการใช้ชีวิต การทำงาน และเวลาให้ครอบครัว ตลอดจนมีอิสรภาพทางการเงินไปพร้อมกันได้

 

 

 

อ้างอิง: SET, OFM Blog, LinkedIn, Creative Artisantalent

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์