ไม่ใช่แค่โชค อาจารย์ NYU แนะทำตามทฤษฎี PIE สร้างความสำเร็จระยะยาว

โชคช่วยได้แค่บางครั้ง แต่ถ้าวัยทำงานอยากประสบความสำเร็จจริง อาจารย์ NYU แนะทำตามทฤษฎี PIE 3 กุญแจความสำเร็จในเส้นทางการทำงานที่สร้างเองได้ บริษัทไหนก็อยากได้ตัว
KEY
POINTS
- ศาสตราจารย์ซูซี่ เวลช์ จาก NYU เสนอทฤษฎี PIE เป็นเคล็ดลับสร้างความสำเร็จในอาชีพ ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคเพียงอย่างเดียว
- ทฤษฎี PIE ประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ P-ความสัมพันธ์ที่จริงใจ (Personal Relationships), I-ไอเดียที่แก้ปัญหาได้จริง (Ideas) และ E-การลงมือทำงานให้สำเร็จ (Execution)
- ความสำเร็จไม่ได้มาจากการเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่เสมอไป แต่เกิดจากการสร้างมิตรภาพแท้จริง, การมีไอเดียที่สร้างคุณค่า และความสามารถในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงซึ่งเป็นที่ต้องการขององค์กร
หลายคนมักเชื่อว่า “การมีโชค” คือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ ซึ่งก็จริงในหลายกรณี ความโชคดีมีผลต่อเรื่องใหญ่ๆ ที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น ครอบครัวที่เราเกิดมา ฐานะทางเศรษฐกิจ สุขภาพ หรือแม้แต่ยุคสมัยที่เราอยู่ รวมถึงเรื่องเล็กๆ อย่างการบังเอิญได้เจอลูกค้าคนสำคัญที่กลายเป็นคนช่วยกอบกู้ธุรกิจของเรา
แต่ปัญหาคือ โชคเป็นอะไรที่ต้องเสี่ยงดวง เราไม่มีทาง “สร้าง” หรือ “เก็บเกี่ยว” โชคขึ้นมาได้เอง
จากงานวิจัยด้านอาชีพและการบริหารองค์กรของ ศาสตราจารย์ซูซี่ เวลช์ (Suzy Welch) อาจารย์ NYU Stern School of Business นักวิจัยชื่อดัง และนักเขียนหนังสือขายดีของ New York Times ผู้จบการศึกษาจาก Harvard ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CEO ของ Becoming You Media ยืนยันว่า ความสำเร็จระยะยาวไม่ได้เกิดจากโชคเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ 3 สิ่งที่เธอเรียกว่า ทฤษฎี PIE ซึ่งย่อมาจาก
P = Personal Relationships (ความสัมพันธ์กับผู้คน)
I = Ideas (ไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์)
E = Execution (การลงมือทำจนสำเร็จ)
P = ความสัมพันธ์กับผู้คน (Personal Relationships)
หลายคนเมื่อได้ยินคำว่า “สร้างคอนเน็กชัน” ก็มักจะนึกถึงการออกสังคม การพบปะผู้คนท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความไม่จริงใจ แต่ ศาสตราจารย์เวลช์ บอกว่า สิ่งที่มีค่ากว่านั้นคือ การสร้างมิตรภาพที่จริงแท้
การมีเพื่อนที่ดี ไม่ว่าจะในที่ทำงานหรือนอกที่ทำงาน อาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีในทันที แต่เมื่อถึงเวลา เพื่อนแท้เหล่านี้สามารถช่วยคุณได้ในแบบที่การแลกนามบัตรหรือการทักแชตไปใน LinkedIn ทำไม่ได้เลย
เธอยกตัวอย่างกับ “ฮอลลิส” เพื่อนสนิทของเธอ ที่ภายหลังกลายมาเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ที่รับหนังสือของเธอไปพิมพ์และวางจำหน่าย แน่นอนว่าถ้าเนื้อหาหนังสือไม่ดี เพื่อนก็อาจปฏิเสธได้ แต่เพราะความสัมพันธ์ที่ดีทำให้ขั้นตอนการเจรจาเร็ว ง่าย และราบรื่นกว่าปกติ
จากเคสตัวอย่างดังกล่าวสรุปได้ว่า ความสัมพันธ์ที่แท้จริงและความจริงใจต่างหาก ที่ทำให้การทำงานราบรื่นและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับเส้นทางอาชีพของเรา
I = ไอเดีย (Ideas)
ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จโดยไม่มีไอเดียที่ดีอย่างน้อยสักครั้งตลอดเส้นทางอาชีพ แต่ไอเดียที่ดีไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ระดับเปลี่ยนโลก ศาสตราจารย์เวลช์ยกตัวอย่างกรณีของเจฟฟ์ เบซอส ( Jeff Bezos) ที่ตัดสินใจเปลี่ยนแพลตฟอร์ม Amazon จากร้านหนังสือออนไลน์ ให้กลายเป็นศูนย์กลางค้าขายทุกสินค้าในโลก
บางครั้ง ไอเดียที่ดีอาจเป็นเพียงการแก้ปัญหาง่ายๆ เช่น ทำให้ขั้นตอนงานราชการที่ซับซ้อนกลายเป็นระบบที่ชัดเจนและง่ายขึ้น หรือคิดวิธีทำการตลาดที่ดันยอดขายเพิ่มขึ้น 3% หรือออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานน้อยลง 5% สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้สามารถสร้างความแตกต่างมหาศาลในสายตาขององค์กร
มีอีกตัวอย่างหนึ่งจากพนักงานขายรถยนต์มือใหม่ ที่คิดคำถามง่ายๆ เวลาเจอลูกค้าที่ชอบต่อราคา พนักงานคนนี้เขาจะไม่รีบร้อนต่อรอง แต่จะถามลูกค้ากลับว่า
“ช่วยเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับว่าทำไมคุณถึงคิดว่าราคานี้เหมาะสม?”
เพียงเท่านี้ เขาก็เปลี่ยนการสนทนาที่โต้แย้งเรื่องตัวเลขกันไปมา ให้กลายเป็นการหาทางออกร่วมกัน จนทำให้เขาเป็นพนักงานที่ปิดการขายได้มากที่สุดในสาขา และในที่สุดก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการ
ดังนั้น ไอเดียที่ดีคือสิ่งที่ “ใหม่” และ “แก้ปัญหาได้จริง” ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ก็ได้ แต่ต้องสร้างคุณค่า
E = การลงมือทำ (Execution)
นี่คือปัจจัยที่มักถูกมองข้าม ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรปรารถนามากที่สุด เพราะมันหมายถึงคนที่จะทำงานสำเร็จลุล่วงได้จริง ศาสตราจารย์เวลช์ เล่าว่า ในคลาสเรียน MBA ของเธอ นักศึกษาทุกคนต้องทำแบบประเมิน 360 Feedback ซึ่งรวบรวมความเห็นจากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า และลูกน้อง เพื่อสะท้อนจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนาในทีม
“ซาราห์” นักศึกษาคนหนึ่งมาพบเธอหลังจบคลาสด้วยน้ำตา เพราะผลการประเมิน 360 Feedback ชี้ว่าเธอไม่โดดเด่นเรื่องภาวะผู้นำเลย แต่สิ่งที่เพื่อนร่วมงานทุกคนเห็นตรงกันคือ เธอคือคนที่ “ทำงานสำเร็จลุล่วงแบบไร้ที่ติ”
ทุกโครงการที่ซาราห์รับผิดชอบ เธอจะพามันไปถึงเส้นชัยอย่างเรียบร้อยเสมอ แม้อาจไม่ได้เป็นคนที่พูดเรื่องวิสัยทัศน์ยิ่งใหญ่ แต่ความสามารถในการ ลงมือทำให้เสร็จจริง ทำให้เธอกลายเป็นกำลังสำคัญที่องค์กรไหนๆ ก็อยากได้ตัวไปร่วมงานด้วย
ศาสตราจารย์เวลช์ จึงแนะนำเธอว่า ไม่จำเป็นต้องฝืนเป็นผู้นำสูงสุดเสมอไป ลองวางเป้าหมายเป็น Chief Operating Officer (COO) ดูสิ! ซึ่งเชื่อว่าเธอทำได้ดีกว่าตำแหน่งอื่น และ CEO ทั่วโลกย่อมอยากได้คนแบบเธอมาอยู่ทีม
จากเคสนี้สรุปได้ว่า ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมาจากการเป็น “ผู้นำใหญ่โต” แต่จากการเป็นคนที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ สำเร็จได้จริง
สุดท้ายแล้ว อาจารย์ NYU คนนี้เน้นย้ำว่า ความสำเร็จคือ “การเป็นตัวคุณเอง” จุดประสงค์ของการเรียนหรือทำงาน ไม่ใช่เพื่อเลียนแบบคนอื่น แต่เพื่อค้นหาตัวเองและใช้ชีวิตในแบบที่เราจะภาคภูมิใจที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิด “Becoming You” บริษัทของศาสตราจารย์เวลช์ ที่ให้คำแนะนำแก่วัยทำงานว่า ควรถามตัวเองว่า “ฉันควรใช้ชีวิตและทำงานอย่างไร เพื่อเป็นตัวเองที่ประสบความสำเร็จที่สุด”
อ้างอิง: CNBC, Becoming You







