โตเกียว แชมป์ Workation ดีที่สุดในโลก 2025 เน็ตเร็ว สะดวก ปลอดภัย

โตเกียว แชมป์ Workation ดีที่สุดในโลก 2025 เน็ตเร็ว สะดวก ปลอดภัย

โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ขึ้นแท่น No.1 เมือง Workation ดีที่สุดในโลก 2025 ครบทั้งเน็ตเร็ว การเดินทางสะดวก ธรรมชาติ-วัฒนธรรมสวยงาม ตอบโจทย์ลงตัวทั้งทำงานและท่องเที่ยว

KEY

POINTS

  • โตเกียวได้รับการจัดอันดับโดย International Workplace Group (IWG) ให้เป็นเมือง Workation ที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2025 จากการสำรวจ 40 เมืองใหญ่ทั่วโลก
  • ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โตเกียวคว้าอันดับ 1 คือความโดดเด่นด้านความเร็วอินเทอร์เน็ต ระบบขนส่งมวลชนดีเยี่ยม ความปลอดภัย วัฒนธรรม และการเปิดตัววีซ่าสำหรับ Digital Nomad
  • โตเกียวยังมีข้อได้เปรียบด้านที่ตั้งซึ่งอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น ภูเขา ทะเล และอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในเกณฑ์การพิจารณาใหม่ที่ตอบโจทย์คนทำงานยุคใหม่

เมื่อเทรนด์การทำงานแบบ Hybrid work และ Remote work ยังคงเติบโตต่อเนื่อง คนทำงานรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยผันตัวเองสู่การเป็น Digital Nomad ซึ่งเน้นการทำงานออนไลน์ ที่ทำได้จากทุกที่บนโลกเพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตและแล็ปท็อป หลายๆ ประเทศจึงเริ่มมีนโยบายดึงดูดกลุ่มวัยทำงานกลุ่มนี้ ให้เข้ามาทำงานและท่องเที่ยวไปด้วยในสไตล์ Workation เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ก็ใช่ว่าทุกเมืองจะสามารถตอบโจทย์นี้ได้อย่างยั่งยืน

ล่าสุด.. International Workplace Group (IWG) บริษัทที่ให้บริการพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่น (flexible workspace) ได้รายงานการจัดอันดับเมือง Workation ที่ดีที่สุดในโลก ปี 2025 โดยได้สำรวจและเก็บรวบรวมข้อมูลจากเมืองใหญ่ทั้งสิ้น 40 เมืองทั่วโลก ในที่สุดผลการสำรวจพบว่า "โตเกียว" ประเทศญี่ปุ่น ขึ้นแท่นอันดับ 1 ของเมือง Workation ยอดนิยมที่ดีที่าสุดในโลก

เปิดเหตุผล ทำไมโตเกียวถึงโดดเด่นด้าน Workation ที่สุดในโลก

นครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานแบบ “เวิร์กเคชัน” หรือการผสมผสานระหว่างการทำงานและการท่องเที่ยว ตามรายงานของ International Workplace Group (IWG) ปี 2025 โดยการจัดอันดับครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงาน “Work from Anywhere Barometer” ประจำปีครั้งที่ 3 ของ IWG ซึ่งรวบรวมเมืองน่าไปทำงานพร้อมพักผ่อนทั่วโลก

สาเหตุที่ทำให้โตเกียวได้คะแนนสูงสุดก็เพราะว่ามีความโดดเด่นด้าน ความเร็วอินเทอร์เน็ต ระบบขนส่ง ความปลอดภัย วัฒนธรรม รวมถึงการเปิดตัว วีซ่าสำหรับ Digital Nomad ที่เพิ่งเริ่มใช้เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งทำให้คนทำงานกลุ่มนี้ สามารถพำนักอยู่ในประเทศได้นานกว่าการถือวีซ่าแบบอื่น สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้เป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดคนทำงานยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ เมืองหลวงของญี่ปุ่นยังมีข้อได้เปรียบ นั่นคือ ตั้งอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวทั้งภูเขา ทะเล และอุทยานแห่งชาติ ซึ่งตอบโจทย์คนทำงานแบบไฮบริดที่อยากสัมผัสทั้งบรรยากาศเมืองใหญ่และธรรมชาติไปพร้อมกัน

เปิดเกณฑ์คัดเลือกสุดเข้ม 12 ด้าน เฟ้นหา Workation ดีที่สุดโลก

IWG ได้ทำงานสำรวจและประเมิน เมืองใหญ่ใน 40 ประเทศทั่วโลก เพื่อเฟ้นหาว่าเมืองใดจะเป็นเมืองที่ตอบโจทย์เทรนด์การทำงาน Workation ได้ดีที่สุด โดยให้คะแนน 1-10 ใน 12 หมวด ได้แก่ สภาพอากาศ, ที่พัก, อาหาร, ระบบขนส่ง, ค่าใช้จ่ายรายวัน (เช่น ราคาเฉลี่ยของกาแฟคาปูชิโน่ในย่านชาวต่างชาติ)

รวมไปถึง ความเร็วอินเทอร์เน็ต, ดัชนีความสุข, การเข้าถึงพื้นที่ทำงานยืดหยุ่น, คุณภาพทางวัฒนธรรม, ความพร้อมและค่าใช้จ่ายของวีซ่า Digital Nomad, ความใกล้ชิดกับชายหาด ภูเขา หรืออุทยานแห่งชาติ, ความยั่งยืน (sustainability)

ปีนี้มีการเพิ่มเกณฑ์ใหม่ 2 ข้อ คือ วีซ่า Digital Nomad และความใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น ชายหาดหรือภูเขา โดยพบว่า 86% ของคนทำงานแบบไฮบริดมองว่าการมีพื้นที่ทำงานยืดหยุ่น ถือเป็นปัจจัยหลักในการเลือกจุดหมายปลายทางที่จะไปทำงานและพักผ่อน

มาร์ก ดิกสัน (Mark Dixon) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ IWG กล่าวว่า “ด้วยการทำงานแบบไฮบริดและเทคโนโลยีคลาวด์ พนักงานจึงมีอิสระในการเลือกทำงานจากที่ไหนและเวลาใดก็ได้ตามที่เหมาะสม”

เปิดโผ 10 เมือง workation ยอดฮิตปี 2025 

ตามรายงานของ IWG มีเมือง Workation ที่ติดอันดับท็อป 10 ของโลก ได้แก่

อันดับ 1  โตเกียว, ญี่ปุ่น
อันดับ 2   ริโอ เดจาเนโร, บราซิล
อันดับ 3   บูดาเปสต์, ฮังการี
อันดับ 4   โซล, เกาหลีใต้
อันดับ 5   บาร์เซโลนา, สเปน
​​​​​​​อันดับ 6   ปักกิ่ง, จีน
​​​​​​​อันดับ 7   ลิสบอน, โปรตุเกส
​​​​​​​อันดับ 8   โรม, อิตาลี
​​​​​​​อันดับ 9   ปารีส, ฝรั่งเศส
​​​​​​​อันดับ 10  วัลเลตตา, มอลตา

ในบรรดาเมืองเหล่านี้ มี โตเกียว โซล โรม ปารีส และวัลเลตตา ที่เพิ่งติดโผเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะกรุงโซลที่โดดเด่นด้วย อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ และชุมชน Digital Nomad ที่เติบโต อันเป็นผลจากนโยบายวีซ่าใหม่ของเกาหลีใต้

ด้านบูดาเปสต์ ถึงแม้จะหล่นจากอันดับ 1 มาอยู่อันดับ 3 แต่ก็ยังคงได้รับความนิยมสูงจาก อาหาร และ ดัชนีความสุข ที่อยู่ในระดับดี

อย่างไรก็ตาม หากจัดอันดับเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย นอกจากกรุงโตเกียวและกรุงโซลแล้ว ยังมีอีกหลายๆ ประเทศ ที่มาแรงไม่แพ้กัน โดยตามรายงานยังระบุว่า สิงคโปร์, จาการ์ตา(อินโดนีเซีย), มะนิลา(ฟิลิปปินส์), มุมไบ(อินเดีย) และฮ่องกง ติดอันดับเมืองเวิร์กเคชันยอดนิยมของเอเชียเช่นกัน

โดยเฉพาะสิงคโปร์ที่ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในกลุ่มประเทศแถบอาเซียน เพราะทำคะแนนสูงในด้านอาหาร ความสุข ความเร็วอินเทอร์เน็ต และความยั่งยืน อีกทั้งรายงานยังชี้ว่า สิงคโปร์ได้เปรียบจาก เครือข่าย 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ ระบบขนส่งที่เชื่อมต่อไร้รอยต่อ และพื้นที่สีเขียวจำนวนมาก

6 เมืองเกิดใหม่น่าจับตามอง สะท้อนเทรนด์ Workation โตแรงทั่วโลก

นอกจากเมืองหลักแล้ว รายงานยังชี้ให้เห็น “เมืองดาวรุ่ง” ของกลุ่มวันทำงานแบบ workation ในปีนี้ที่เริ่มมาแรง ได้แก่ เม็กซิโกซิตี้(เม็กซิโก), เคปทาวน์(แอฟริกาใต้), ปราก(สาธารณรัฐเช็ก), เมลเบิร์น(ออสเตเลีย), ออร์แลนโด(สหรัฐอเมริกา) และเรคยาวิก(ไอซ์แลนด์) ซึ่งได้คะแนนสูงในเกณฑ์ใหม่อย่างวีซ่า Digital Nomad และความใกล้ชิดธรรมชาติ

ขณะที่บาร์เซโลนา ปักกิ่ง และลิสบอน แม้จะเคยได้รับความนิยมสูงในปีก่อนๆ แต่ในปีนี้กลับตกอันดับลงมาอย่างน่าเสียดาย

มาร์ก ดิกสันย้ำว่า เทรนด์ Workation นี้ไม่ได้เป็นเพียงกระแสชั่วคราว แต่จะอยู่ต่อเนื่องระยะยาว เพราะหลายบริษัทหันมาใช้รูปแบบการทำงานยืดหยุ่นและนโยบาย “Work from Anywhere” โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มสมดุลชีวิต ลดความเสี่ยงหมดไฟ แต่ยังสร้างประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นอีกด้วย

 

 

อ้างอิง: CNBC, IWG