‘เจน Z’ มองการโทรโดยไม่บอกก่อน ไร้มารยาท รุกล้ำความเป็นส่วนตัว

‘เจน Z’ มองการโทรโดยไม่บอกก่อน ไร้มารยาท รุกล้ำความเป็นส่วนตัว

ทักก่อนแล้วค่อยโทร! เจน Z มองการโทรโดยไม่ถาม เป็นเรื่องไร้มารยาท ลุกล้ำความเป็นส่วนตัว สร้างความตื่นตระหนกเกินจำเป็น

KEY

POINTS

  • คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเจน Z มองว่าการโทรศัพท์โดยไม่แจ้งล่วงหน้าเป็นการกระทำที่ไร้มารยาท ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว และสร้างความวิตกกังวล
  • เจน Z นิยมการสื่อสารผ่านข้อความมากกว่า เพราะสามารถควบคุมได้ มีเวลาคิดและเรียบเรียงคำตอบ ต่างจากการรับสายที่ต้องตอบสนองทันทีซึ่งสร้างความกดดัน
  • ผลสำรวจในหลายประเทศพบว่าคนรุ่นใหม่จำนวนมากมีความกลัวหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ (Telephone phobia) และมองว่าไม่ใช่ช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
  • มารยาทการสื่อสารยุคใหม่แนะนำให้ส่งข้อความถามความสะดวกของผู้รับก่อนโทร เพื่อเป็นการเคารพซึ่งกันและกัน และป้องกันการสร้างความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น

โทรศัพท์” เป็นช่องทางการสื่อสารที่ใช้มาเป็นร้อยปีแล้ว และตอนนี้โลกมีวิธีการสื่อสารที่หลากหลายตามเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ไม่ใช่ทุกคนที่จะโอเคกับการรับสายโทรศัพท์ที่อยู่ ๆ ก็โทรเข้ามาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า โดยเฉพาะเด็กเจน Z ที่มองว่าเป็นการกระทำที่หยาบคาย ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว  หรือสร้างความตื่นตระหนกมากเกินจำเป็น

มารยาทในการโทรศัพท์ไม่เคยซับซ้อนเท่านี้มาก่อน ในตอนนี้คนแต่ละรุ่น มีทัศนคติไม่ตรงกันเกี่ยวกับการโทรหาใครสักคนโดยไม่บอกล่วงหน้า คนรุ่นก่อนเคยชินกับการรับสาย เพราะเป็นช่องทางการติดต่อที่สะดวกและใช้มาตั้งแต่จำความได้ ทำไมการโทรหาโดยไม่บอกก่อนถึงกลายเป็นเรื่องไม่มีมารยาท แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาก็มีการแชทแล้ว มองว่าการโทรศัพท์ไม่ใช่สิ่งสำคัญมากขนาดนั้น ถ้าจะโทรหาก็ควรบอกกล่าวกันก่อน

ผลสำรวจในปี 2023 ของกลุ่มคนเจน Z ในออสเตรเลีย อายุระหว่าง 18-26 ปี กว่า 1,000 คน พบว่าเกือบ 60% กลัวการโทรออกหรือรับสายโทรศัพท์ อีกกลุ่มหนึ่งจากสหรัฐพบว่า คนรุ่นมิลเลนเนียล 81% รู้สึกวิตกกังวลก่อนจะโทรออก

สอดคล้องกับ จากผลสำรวจของ YouGov พบว่าคนวัย 18-24 ปี นิยมส่งข้อความมากที่สุด รองลงมาคือคนวัย 25-34 ปี ในบรรดาพนักงานออฟฟิศ 2,000 คน ที่บริษัทจัดหางาน Robert Walters สำรวจในเดือนมีนาคม พบว่ามีเพียง 16% ของคนรุ่นเจน Z ระหว่างปี 1997-2012 คิดว่าโทรศัพท์เป็นรูปแบบการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

นาเรลล์ ฮอปกิน หัวหน้าคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมอร์ด็อก ศึกษาทัศนคติของคนรุ่นใหม่ต่อการใช้โทรศัพท์ พบว่า “ความหวาดกลัวโทรศัพท์” (Telephone phobia) อาจเป็นสาเหตุของการสูญเสียทักษะการสื่อสารที่สำคัญในคนรุ่นใหม่ เนื่องจากพวกเขารู้สึกไม่สบายใจที่จะรับสายโทรศัพท์โดยไม่ทันตั้งตัวหรือไม่มีการเตือนล่วงหน้า

บางคนถึงกับบอกว่า พวกเขาจะไม่รับสายโทรศัพท์เลย แม้แต่จากผู้ปกครองก็ตาม ปล่อยให้สายโอนไปยังวอยซ์เมลแล้วตอบกลับทางข้อความทีหลังนั้นง่ายกว่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเบอร์แปลก หมายเลขที่ไม่รู้จัก คนรุ่นใหม่เลือกจะไม่รับเลย ซึ่งนอกจากจะกลัวเป็นเบอร์ของมิจฉาชีพแล้ว คนรุ่นใหม่ยังตั้งคำถามว่า “ทำไมคนเหล่านี้ถึงเลือกที่จะโทรมาแทนการส่งข้อความ”

เมื่อเบอร์ไม่รู้จักที่โทรเข้ามาจะยิ่งทำให้พวกเขาตื่นตระหนัก กลัวว่าจะเกิดเหตุร้าย หรือมีเรื่องฉุกเฉิน แต่พอรับสายแล้วกลับเป็นเบอร์จากบริษัทห้างร้านต่าง ๆ เช่น บริษัทประกัน หรือธนาคาร กลับกลายเป็นว่าพวกเขารู้สึกหงุดหงิด เหมือนถูกดักฟัง และมองว่าการกระทำแบบนี้สร้างความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น

สำหรับวัยรุ่นแล้ว การโทรไม่ใช่วิธีการสื่อสารแบบปรกติอีกต่อไป พวกเขาจะเลือกใช้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เช่น สถานการณ์ฉุกเฉิน ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ หรือเมื่อต้องการการปลอบโยนอย่างเร่งด่วน ส่วนกรณีอื่น ๆ จะใช้การส่งข้อความเป็นหลัก เพราะมองว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

เหตุผลไม่ได้อยู่ที่ความขี้เกียจ แต่เป็นเพราะการสื่อสารด้วยลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะเป็นข้อความ บันทึกเสียง หรือข้อความส่วนตัวในโซเชียลมีเดีย สามารถควบคุมได้มากกว่า มีเวลาได้คิดคำตอบ ผ่านตัวเลือกต่าง ๆ เช่น การร่าง ลบ เขียนใหม่ ตอบทีหลัง และแก้ไขข้อความ ซึ่งช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ 

แตกต่างจากการรับสาย ที่จะต้องตอบรับทันที ไม่มีเวลาคิด ไม่สามารถเตรียมตัวได้ สำหรับวัยรุ่นหลายคนแล้ว ความเร่งด่วนนี้ถูกมองว่าสร้างความเครียด เป็นการสูญเสียการควบคุม ไม่มีเวลาคิดถึงสิ่งที่ต้องการจะพูด อาจพูดติดขัด พูดมากหรือน้อยเกินไป หรือเผลอพูดสิ่งไม่ดีออกไป 

ดังนั้นคนรุ่นใหม่หลายคนจึงเลือกไม่รับสายผู้ปกครอง ปล่อยให้เสียงเรียกเข้าดังไปเรื่อย ๆ แล้วค่อยส่งข้อความหาภายหลัง ปฏิกิริยาแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาปฏิเสธหรือไม่สนใจ แต่เป็นเพราะพวกเขาความต้องการพื้นที่ส่วนตัว อยากเลื่อนการสนทนาออกไป และการจัดการตามอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองในขณะนั้น

โทรศัพท์จึงกลายเป็นเครื่องมือใช้หลีกเลี่ยงการพูดคุย หรือพูดให้ชัดเจนกว่านั้นก็คือ เครื่องมือที่ใช้ตัดสินใจว่าจะปล่อยให้เสียงนั้นดังขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร ทั้งหมดนี้ก็เพื่อรักษาสมดุลในความสัมพันธ์

The Washington Post เผยแพร่บทความแนะนำ มารยาทในการโทรศัพท์ในยุคดิจิทัลออกมา โดยระบุว่า การโทรหาใครสักคนโดยไม่บอกกล่าวอาจทำให้ผู้รับรู้สึกเครียด ควรส่งข้อความถามก่อนว่าตอนนี้ว่างคุยไหม หรือกำหนดเวลาโทรให้ชัดเจน พร้อมระบุด้วยว่าต้องการจะพูดคุยเรื่องอะไร แต่ไม่ควรส่งข้อความสั้นเกินไป เช่น “โทรกลับด้วย” เพราะจะทำให้ผู้รับรู้สึกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนและมีเหตุฉุกเฉินมากเกินไป 

พร้อมเน้นย้ำว่าขั้นตอนเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการวิดีโอคอล เพราะฝั่งผู้รับสายอาจจะไม่อยู่ในสถานการณ์ที่พร้อมเปิดกล้อง อาจทำให้ทุกคนรู้สึกอับอาย 

ขณะเดียวกัน การไม่รับสายก็ไม่ใช่ว่าไม่มีมารยาท พวกเขาอาจจะไม่ว่างรับสาย อาจจะติดภารกิจใด ๆ อยู่ ผู้รับสายมีสิทธิ์เลือกที่จะไม่รับสาย แต่ก็ควรจะส่งข้อความบอกสักหน่อยว่าไม่ว่าง เดี๋ยวติดต่อกลับ 

ลิซซี่ โพสต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาทและประธานร่วมของสถาบันเอมิลี่ โพสต์ กล่าวว่า “เราทุกคนสามารถควบคุมโทรศัพท์ของตัวเองได้ และตัดสินใจได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะรับสายหรือไม่ ถ้ามีคนขัดจังหวะคุณและคุณรู้สึกไม่พอใจ ลองเดาดูสิว่าใครเป็นคนผิด คุณคือคนที่รับสายในเวลาที่ไม่ควร”

สำหรับชาวเจน Z แล้ว การไม่รับสายไม่ได้ถูกมองว่าหยาบคายอีกต่อไป การโทรหาโดยไม่แจ้งล่วงหน้าดูหยาบคายมากกว่าเสียอีก

แอนน์ คอร์ดิเยร์ ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยลอร์เรน แนะนำว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องกำหนดขอบเขต “ความสุภาพทางดิจิทัล” ในอดีต การโทรศัพท์ถูกมองว่าเป็นเพียงการแสดงความห่วงใย แต่ปัจจุบันอาจถูกมองว่าเป็นการล่วงล้ำ ขณะเดียวกัน การตอบกลับผ่านข้อความยังช่วยสร้างโครงสร้าง มีเวลาให้คิด และเปิดโอกาสให้แสดงออกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีทางเลือกที่จะหลีกเลี่ยง หรือเลื่อนการสื่อสารออกไป โดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างเปิดเผย

ไม่ใช่ว่าวัยรุ่นขาดความเห็นอกเห็นใจ ตีตัวออกหาก เย็นชา ไม่สนใจ แต่พวกเขาเพียงแค่แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจในอีกรูปแบบ เช่น การส่งข้อความก่อนโทร การส่งอีโมจิเพื่อบอกอารมณ์หรือความพร้อม และหาเวลาเหมาะสมที่จะพูดคุย 

ตราบใดที่เรายินดีที่จะยอมรับมุมมองใหม่ ๆ เหล่านี้และพูดคุยกันโดยไม่ตัดสิน การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ใช่การพังทลายของความสัมพันธ์ทางสังคม แต่เป็นการสร้างรูปแบบการสื่อสารใหม่ที่ช่วยให้คนทุกเจนสามารถเชื่อมโยงถึงกัน



ที่มา: CNAThe ConversationThe Washington PostThe Wall Street Journal