Gen Z เสี่ยง Crashing Out ระเบิดอารมณ์กลางออฟฟิศ วิกฤติป่วยใจพุ่ง

'Crashing Out' วัยทำงาน Gen Z ระเบิดอารมณ์-วูบทรุดฮวบกลางออฟฟิศ ผู้เชี่ยวชาญเตือนอย่ามองข้าม นี่อาจไม่ใช่แค่เหนื่อยธรรมดา แต่คือสัญญาณสุขภาพจิตขั้นวิกฤติ
KEY
POINTS
- "Crashing Out" คือภาวะที่คนทำงาน Gen Z เกิดการระเบิดอารมณ์หรือทรุดลงอย่างกะทันหัน จากความเครียดสะสมในที่ทำงาน ซึ่งเป็นอาการที่สะท้อนภาวะหมดไฟ (Burnout) ในระดับที่รุนแรง
- ปรากฏการณ์นี้ถือเป็นวิกฤตสุขภาพจิตที่น่ากังวล โดยมีข้อมูลชี้ว่า Gen Z เกือบครึ่ง (46%) เคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติทางจิตใจ
- แนวทางแก้ไขเสนอให้องค์กรเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงานและจัดการความเครียดอย่างเป็นระบบ ขณะที่พนักงานควรสังเกตสัญญาณเตือนและขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น
ขณะที่ความเครียดในที่ทำงานเพิ่มสูงขึ้น สื่อโซเชียลก็เริ่มพูดถึงปรากฏการณ์ใหม่ที่เรียกว่า “Crashing Out” คำสแลงยอดฮิตจาก TikTok ซึ่งใช้พูดถึงภาวะที่คนวัยทำงาน โดยเฉพาะ Gen Z มีอาการ ระเบิดอารมณ์ หรือ วูบทรุดฮวบลงอย่างกะทันหันกลางออฟฟิศ เหตุจากความเครียดสะสมในที่ทำงาน
แม้คำนี้จะฟังดูเป็นเรื่องเล่นๆ บนโลกออนไลน์ แต่นักจิตวิทยาชี้ว่า “Crashing Out” คืออาการตอบสนองต่อความเครียดที่น่ากังวล และสะท้อนปัญหาสุขภาพจิตในคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่สามารถจัดการอารมณ์ตนเองได้ดีพอ
Gen Z 46% ป่วยจิต “Crashing Out” คือสัญญาณเตือนขั้นวิกฤติ
จากรายงานล่าสุดเกี่ยวกับสุขภาพจิตของ Gen Z พบว่า เกือบครึ่ง (46%) เคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะผิดปกติทางจิตใจ ซึ่งอาการ “Crashing Out” ที่เกิดขึ้นในที่ทำงานจึงไม่ควรถูกมองข้าม เพราะอาจสะท้อนถึงอาการของภาวะหมดไฟ (Burnout) อย่างรุนแรง หรือเป็นการร้องขอความช่วยเหลืออย่างเงียบ ๆ
องค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้ระบุว่า ภาวะหมดไฟ (Burnout) ถือเป็นภาวะทางการแพทย์ที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงาน โดยมี 3 อาการหลักที่มักปรากฏร่วมกัน ได้แก่
1. รู้สึกหมดพลัง เหนื่อยล้าอย่างต่อเนื่อง
2. เริ่มเฉยชา หรือรู้สึกไม่ผูกพันกับงาน
3. ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด
4 สัญญาณเริ่มต้นที่อาจนำไปสู่ภาวะ ‘Crashing Out’
แฟรงก์ ไวส์เฮาพท์ (Frank Weishaupt) ซีอีโอของ Owl Labs กล่าวว่า จากผลสำรวจพนักงานล่าสุดในปี 2025 พบว่า 26% รู้สึกหมดไฟ และ 43% เผชิญกับความเครียดมากขึ้นกว่าปีก่อน หากปล่อยให้อาการหมดไฟพัฒนาไปจนรุนแรงมากขึ้น จนข้ามเส้นเข้าสู่อาการ Crashing Out ย่อมไม่ดีแน่ วัยทำงานควรเช็กว่าตนเองมีอาการเข้าข่ายไหม ทั้งนี้ ไวส์เฮาพท์ แนะนำให้จับตา 4 สัญญาณเตือนต่อไปนี้
1. หงุดหงิดใส่เพื่อนร่วมงานง่ายขึ้น
2. หมดแรงจูงใจในการทำงาน
3. รู้สึกว่าแค่การทำงานทั่วไป ก็หนักเกินจะรับไหว
4. เหนื่อยล้าและเริ่มแยกตัวจากคนอื่น
หากชาว Gen Z เริ่มมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรับปรุงสถานการณ์การทำงานของตนเอง เช่น ขอวันลาพักร้อน ปรับปริมาณงาน หรือคุยกับหัวหน้าเพื่อกระจายความรับผิดชอบใหม่ก่อนที่จะสายเกินไป ขณะที่ทางฝั่งหัวหน้างาน ซีอีโอ Owl Labs แนะนำว่า ให้คอยสังเกตลูกน้องที่แสดงความรู้สึกว่าเหนื่อยล้า หนักใจ หรือขาดการสนับสนุน แล้วเข้าไปช่วยเหลือโดยเร็ว
ในขณะที่หากมองในภาพรวมทั้งองค์กร ผู้นำองค์กรก็ควรรู้เท่าทันปัญหาเหล่านี้ในที่ทำงาน และหาวิธีรับมือกับปรากฏการณ์ ‘Crashing Out’ ให้ได้ ไวส์เฮาพท์ เสนอแนะให้บริษัทต่างๆ จัดการกับความเครียดของพนักงานอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน: พนักงานที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวันรายงานว่ามีความเครียดมากกว่าคนที่ทำงานแบบไฮบริดหรือรีโมตถึง 47%
2. ลดประเด็นการเมืองในที่ทำงาน: 45% ของพนักงานในสหรัฐฯ ระบุว่า การถกเถียงเรื่องการเมืองกับเพื่อนร่วมงานทำให้ไม่อยากมาทำงาน
3. เคลียร์ปัญหาเรื่องค่าตอบแทนอย่างโปร่งใส: 22% ของพนักงานที่รู้สึกหมดไฟ มองว่าตนเองไม่ได้รับค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม
ดูแลตัวเองก่อนพัง! 8 วิธีรับมือ ‘Crashing Out’ สำหรับพนักงาน
อาการหลักของ “Crashing Out” ไม่ใช่แค่เหนื่อย แต่คือ ความอ่อนล้าฝังลึกที่แม้จะพักผ่อนบ้างแล้วแต่ร่างกายและจิตใจก็ยังไม่ฟื้นคืนมาเต็มที่ และนี่คือ 8 วิธีป้องกันตัวเองก่อนที่สุขภาพจิตใจจะถึงจุดวิกฤติ
1. เทคนิค Bare Minimum Mondays
เริ่มต้นสัปดาห์แบบเบา ๆ ด้วย “Bare Minimum Mondays” เลือกทำงานเบา ๆ ในวันจันทร์ งดประชุม-งดงานที่ต้องมีเดดไลน์ด่วน เพื่อปรับสมดุลสมองและจิตใจให้ค่อยๆ เข้าสู่โหมดการทำงาน
2. เทคนิค Micro-breaks
พักเบรกสั้นๆ ระหว่างวันทำงาน (Micro-breaks) เช่น หลังทำงานเสร็จแต่ละชิ้น ให้หยุดพักจากหน้าจอ แล้วลองเดินเล่น ยืดเส้นยืดสาย สูดหายใจ หรือฟังเพลงเบาๆ แค่ 5-10 นาทีก็ช่วยได้
3. ทำสมาธิระหว่างวัน
ฝึกสติระหว่างวันโดยการนั่งสมาธิหรือเดินสมาธิสั้นๆ เน้นฝึกใช้ลมหายใจเข้าออกช้าๆ พยายามนำจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เมื่อเริ่มรู้สึกฟุ้งซ่านหรือวิตกกังวล
4. อย่าปล่อยงานพอกพูน
อย่าปล่อยให้งานกองพูนและงอกไปเรื่อยๆ พยายามเคลียร์งานให้หมด เริ่มจากงานง่ายๆ ก่อนเพื่อสร้างแรงจูงใจ และเลี่ยงอาการผลัดวันประกันพรุ่ง
5. กล้าพูดว่า 'ไม่'
เป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเอง และรู้จักปฏิเสธงาน เมื่อรู้สึกว่างานล้นมืออยู่แล้ว ถ้าคุณทำงานจากที่บ้าน ให้จัดพื้นที่ทำงานให้เป็นสัดส่วนเพื่อไม่ให้งานมารบกวนชีวิตส่วนตัว และควรกำหนดเวลาเลิกงานให้ สิ่งนี้สำคัญนะ เพราะช่วยป้องกันภาวะหมดไฟได้ เมื่อเลิกงานแล้วให้ทิ้งเรื่องงานไว้ตรงนั้น ไม่ต้องเอามันมาปะปนกับสิ่งอื่นในชีวิต
6. เปลี่ยนวิธีคิดเมื่อรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง
เวลาที่คุณรู้สึกหนักใจและเริ่มตำหนิตัวเอง นั่นเท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้แย่ลงไปอีก ลองเปลี่ยนความคิดเชิงลบเหล่านั้นให้กลายเป็นเชิงบวก เช่น แทนที่จะคิดถึงแต่ข้อบกพร่องของตัวเอง ลองเขียนรายการ "ข้อดี" ทั้งหมดที่คุณมี ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือทักษะต่างๆ เพื่อปรับมุมมองให้สมดุล
7. ฝึกปล่อยวาง และทำรายการสิ่งที่อยากเป็น
การฝืนทำงานต่อไปเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกหมดไฟจะยิ่งทำให้ปัญหาหนักขึ้นไปอีก ทางออกที่ดีที่สุดคือการฝึก "อยู่เฉยๆ" แทนที่จะ "ทำ" อะไรสักอย่าง ลองบอกตัวเองว่า "อย่าเพิ่งทำอะไรเลย แค่นั่งอยู่เฉยๆ ก็พอ" ลองลดความเร่งรีบในชีวิตลง แล้วหันมาใส่ใจร่างกายและความต้องการของตัวเอง ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น ฟังเพลงเบาๆ อ่านหนังสือดีๆ หรือมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อพักสายตา
8. มองหาความช่วยเหลือ
เมื่อรู้ตัวว่ากำลัง Burnout หรือ Crashing out สิ่งแรกที่คุณควรทำคือ "ดูแลตัวเอง" อย่าปล่อยให้ความเกรงใจมาหยุดไม่ให้คุณพูดคุยกับหัวหน้า เกี่ยวกับเรื่องการปรับเวลาทำงาน เช่น การขอตารางงานที่ยืดหยุ่นขึ้น หรือการลดภาระงานลง หากอาการ "หมดแรง" ยังคงอยู่หรือแย่ลง การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
หากคุณหรือเพื่อนร่วมงานกำลัง “Crashing Out” อย่าคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ เพราะในโลกของการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว สุขภาพจิตคือสิ่งสำคัญที่ต้องดูแลไม่แพ้เรื่องประสิทธิภาพการทำงานเลย
อ้างอิง: Forbes, Owl Labs, Harmonyhit







