เสื้อถ่วงน้ำหนัก เทรนด์ใหม่สายฟิต ช่วยเบิร์น & บูสต์กล้ามเนื้อ

รู้จัก “เสื้อถ่วงน้ำหนัก” อุปกรณ์ออกกำลังกายที่น่าจับตา ช่วยเผาผลาญแคลอรี สร้างกล้ามเนื้อ และ ลดความเสี่ยงกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
KEY
POINTS
- เสื้อถ่วงน้ำหนักเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มแรงต้านให้ร่างกาย ทำให้เผาผลาญแคลอรีและสร้างกล้ามเนื้อได้มากขึ้นในการออกกำลังกาย
- การสวมเสื้อที่หนัก 10% ของน้ำหนักตัว สามารถเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8.5% และยิ่งน้ำหนักมากก็ยิ่งเผาผลาญได้สูงขึ้น
- ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลายส่วน เช่น แกนกลางลำตัว ไหล่ หลัง และขา อีกทั้งยังช่วยให้นักวิ่งทำความเร็วได้ดีขึ้น
- มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและผู้สูงอายุ เพราะช่วยชะลอการสูญเสียมวลกระดูกและลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
- เป็นเทรนด์ที่เหมาะกับคนหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา นักวิ่ง หรือผู้สูงอายุที่ต้องการเสริมความแข็งแรงให้ร่างกาย
เสื้อถ่วงน้ำหนัก (Weighted Vest) กำลังกลายเป็นตัวช่วยเสริมสุขภาพ ที่หลายคนหันมาให้ความสนใจ ทั้งสายออกกำลังกาย นักวิ่งมือสมัครเล่น ไปจนถึงคนวัย 40+ ที่อยากดูแลมวลกล้ามเนื้อ และเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
แม้แต่นักแสดงระดับฮอลลีวูดอย่าง เจสสิก้า อัลบา (Jessica Alba) ก็เลือกใช้ เพราะเสื้อที่ว่านี้ สามารถช่วยเพิ่มแรงต้านให้ร่างกายทำงานหนักขึ้น โดยไม่ต้องออกแรงให้นานขึ้น
กรุงเทพธุรกิจ จะพาผู้อ่านไปสำรวจว่า เสื้อถ่วงน้ำหนักคืออะไร ใช้อย่างไรถึงจะได้ผล และ ควรระวังอะไรเป็นพิเศษ ก่อนที่จะตัดสินใจลองใส่ดูสักครั้ง
เสื้อถ่วงน้ำหนักคืออะไร?
เสื้อถ่วงน้ำหนัก คือ เสื้อที่ออกแบบมาให้มีช่องใส่น้ำหนักกระจายรอบลำตัว โดยทั่วไปน้ำหนักจะอยู่ที่ 12–150 ปอนด์ หรือ 5 – 68 กิโลกรัมโดยประมาณ แล้วแต่ระดับความฟิตของผู้ใส่
การใส่เสื้อถ่วงน้ำหนักนั้นต่างจากการสะพายเป้ เพราะสามารถกระจายแรงต้านรอบตัว โดยไม่กดจุดใดจุดหนึ่ง ทำให้การเคลื่อนไหวดูเป็นธรรมชาติมากกว่า และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
ใส่เสื้อถ่วงน้ำหนักแล้วเบิร์นมากขึ้นแค่ไหน?
เดฟ ลูนีย์ (Dave Looney) นักสรีรวิทยาการออกกำลังกาย ที่เคยวิจัยเรื่องนี้ร่วมกับกองทัพสหรัฐฯ ระบุว่า
หากใส่เสื้อถ่วงที่หนักเท่ากับ 10% ของน้ำหนักตัว จะสามารถเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นถึง 8.5%
ใส่ 20% = เผาผลาญเพิ่ม 19.7% และ ใส่ 30% = เผาผลาญเพิ่มสูงถึง 32.2%
เสื้อถ่วงน้ำหนักเหมาะกับใครบ้าง?
เสื้อถ่วงน้ำหนักไม่ใช่ของเล่นของนักกีฬา หรือคนเล่น CrossFit (โปรแกรมออกกำลังกายที่เน้นการฝึกฝนด้วยการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย และมีความเข้มข้นสูง) เท่านั้น
นักวิจัยชี้ว่า เสื้อแบบนี้มีประโยชน์ต่อผู้สูงอายุด้วย โดยเฉพาะ “ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน” ที่เสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกระดูกและกล้ามเนื้อ
ศาสตราจารย์คริสเตน บีเวอร์ส (Prof. Kristen Beavers) จากมหาวิทยาลัย Wake Forest กล่าวว่า
“เสื้อถ่วงน้ำหนักจะช่วยรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ สมดุลร่างกาย และลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน”
ข้อดีของการใส่เสื้อถ่วงน้ำหนัก
นอกจากจะช่วยให้เบิร์นแคลอรีมากขึ้นแล้ว เสื้อถ่วงน้ำหนักยังมีข้อดีอื่นๆ ดังนี้
- กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น มีงานวิจัยพบว่า การทำ Bench Press หรือ Push-Up พร้อมสวมเสื้อถ่วงน้ำหนัก จะช่วยเพิ่มแรงกล้ามเนื้อได้ รวมถึงกล้ามเนื้อแกนกลาง ไหล่ หลัง ขา และ สะโพก
- วิ่งเร็วขึ้นจริง นักวิ่งที่วอร์มอัพด้วยเสื้อถ่วงน้ำหนัก 10% ของน้ำหนักตัว ก่อนลงแข่ง 5K สามารถลดเวลาได้เฉลี่ย 15 วินาที
- ระบบหัวใจและความทนทานดีขึ้น ช่วยเพิ่มระดับความทนทานของร่างกายต่อกรดแลคติก ทำให้วิ่งได้นานขึ้น ไม่เหนื่อยเร็ว เห็นผลทั้งระยะสั้น และระยะไกล
- เผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น งานวิจัยพบว่า การเพิ่มแรงต้านด้วยเสื้อถ่วงน้ำหนักอาจช่วยให้ร่างกาย เผาผลาญไขมันเป็นพลังงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เสริมมวลกระดูก เสื้อถ่วงน้ำหนัก ช่วยชะลอการสูญเสียมวลกระดูกในกลุ่มผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และผู้สูงอายุที่เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
- เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่งมือสมัครเล่น คนวัยทำงานที่อยากฟิต หรือ ผู้สูงอายุที่ต้องการเสริมความแข็งแรง สามารถใส่เสื้อนี้และปรับน้ำหนักให้เหมาะสมกับตัวเองได้
ข้อควรระวังในการใช้งาน
- อย่าเริ่มหนักเกินไป แนะนำให้เริ่มจาก 5 -10% ของน้ำหนักตัว แล้วค่อยๆ เพิ่มเมื่อร่างกายปรับตัวได้
- ระวังการใช้งานนานเกินไป หากใช้ในกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง หรือ ระยะเวลานาน อาจเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ หรือเสียท่าทางได้
- หากมีปัญหากระดูกหรือข้อต่อ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับ หลัง ไหล่ หรือ ข้อเข่า
แค่เพิ่มน้ำหนักเล็กน้อยให้ร่างกาย ก็อาจเปลี่ยนผลลัพธ์ของการออกกำลังกายได้อย่างน่าทึ่ง หากใช้ให้ถูกวิธี "เสื้อถ่วงน้ำหนัก" ก็อาจจะเป็นอาวุธลับของสุขภาพที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็ว่าได้
อ้างอิง wsj , healthline , crossfit , sciencealert







