Gen Z ก้าวขึ้นเป็นผู้นำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปีหน้าจะแซงรุ่น Boomer

อย่าเพิ่งคิดว่า Gen Z ไม่อยากเป็นหัวหน้า เพราะวันนี้พวกเขาขึ้นเป็นระดับผู้นำมากขึ้นเรื่อยๆ คิดเป็น 10% ของผู้จัดการทั่วโลก จะแซงหน้าคนรุ่น Baby Boomer ภายในปีหน้า
KEY
POINTS
- คนรุ่น Gen Z กำลังได้รับตำแหน่งผู้บริหารเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะมีจำนวนแซงหน้าผู้จัดการรุ่น Baby Boomer ภายในปีหน้า
- ผู้นำ Gen Z ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่น คุณภาพชีวิต และสุขภาพจิตของพนักงาน มากกว่าผู้นำรุ่นก่อน
- แม้ภาพลักษณ์จะดูเหมือนไม่อยากรับภาระ แต่ข้อมูลชี้ว่า Gen Z ยังคงสนใจความก้าวหน้าในสายอาชีพเพื่อรายได้และอิสรภาพ
- ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้นำยุคใหม่คือความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) และความเห็นอกเห็นใจ เพื่อรับมือกับความท้าทายในการทำงานที่เปลี่ยนไป
ในวัยเพียง 25 ปี "ไร ไตรนา" (Rai Tryna) ต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีม และดูแลลูกทีมถึง 8 คน แม้จะเป็นผู้จัดการที่อายุน้อยที่สุดในห้องประชุม แต่เขาคือหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนแนวคิดการบริหารงาน ให้เน้นเรื่องการทำงานยืดหยุ่นและคุณภาพชีวิตมากกว่าผู้นำทีมรุ่นก่อนหน้า
การเป็น "หัวหน้า" ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนวัยกลางคนอีกต่อไป เพราะวันนี้คนรุ่น Gen Z ซึ่งอายุมากที่สุดเพียง 28-29 ปี กำลังเริ่มบทบาทผู้นำมากขึ้นในหลายองค์กร ข้อมูลจาก Glassdoor ระบุว่า ปัจจุบัน Gen Z คิดเป็น 1 ใน 10 ของผู้บริหารทั้งหมด และภายในปีหน้าจะมีจำนวนแซงหน้าผู้จัดการรุ่น Baby Boomer ด้วยซ้ำ
แนวโน้มนี้เห็นได้ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ค่าแรงไม่สูง เช่น ร้านอาหาร ไปจนถึงอุตสาหกรรมค่รายได้ดี อย่าง "สายเทคโนโลยี" ที่มีการเลื่อนขั้นเร็ว เพราะวัฒนธรรมองค์กรเอื้อต่อคนรุ่นใหม่
ผู้นำที่ยังไม่ถึง 30 ปี แต่เติบโตไวและเข้าใจคนทำงานมากขึ้น
แม้โลกออนไลน์จะมีคำพูดติดปากว่า “Gen Z ไม่อยากเป็นหัวหน้า” เพราะไม่อยากรับภาระมากเกินไป แต่ข้อมูลจริงกลับบอกอีกแบบ แดเนียล เจ้า (Daniel Zhao) นักเศรษฐศาสตร์จาก Glassdoor ชี้ว่า คนรุ่นนี้ก็ยังสนใจความก้าวหน้า และยังมองบันไดสายอาชีพว่าเป็นเส้นทางสู่รายได้และอิสรภาพในชีวิต
แน่นอนว่าความลังเลของบางคนก็มีเหตุผล โดยเฉพาะเรื่อง "ภาระที่ไม่คุ้มค่ากับค่าตอบแทน" ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนที่แท้จริงจากพนักงานหลายคนมากกว่าแค่การปฏิเสธบทบาทผู้นำ
ไร ไตรนา ในฐานะผู้จัดการแผนกพาร์ตเนอร์ชิพ ของบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง เล่าว่า เขาตัดสินใจรับบทผู้จัดการ เพราะอยากเป็นหัวหน้าที่ดี หลังผ่านประสบการณ์ทั้งแย่และดีจากเจ้านายเก่า และเชื่อว่า “หัวหน้าที่เข้าใจคน” สามารถส่งเสริมให้ทีมเติบโตและมีความสุขได้
เขายอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อลูกทีมบางคนอายุมากกว่า ต้องรู้จักปรับความคาดหวัง และเรียนรู้ที่จะ “เป็นคนบอกข่าวร้าย” ให้กับคนในทีม เช่น การปฏิเสธขึ้นเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่ง แต่เขาก็ย้ำว่า ถ้าได้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และคุณเป็นคนที่ชอบทำงานกับคน การเป็นผู้นำคือประสบการณ์ที่เติมเต็มมาก
“คุณกำลังดูแลชีวิต 8 ชีวิต ความคิด 8 แบบ เป้าหมาย 8 ทาง พร้อมกับต้องทำหน้าที่หลักของตัวเองไปด้วย” เขาเล่าใน TikTok ส่วนตัว “เพราะแบบนี้ ผมเข้าใจเลยว่าทำไมหลายคนไม่อยากรับบทผู้จัดการ”
ยืดหยุ่นอย่างมีวินัย คือค่านิยมใหม่ของหัวหน้า Gen Z
อีกหนึ่งมุมที่น่าสนใจคือ วิธีคิดเรื่อง “ความยืดหยุ่น” ในที่ทำงาน ไร มองว่า ในเมื่อเขาเองก็อยากมีอิสระในการทำงาน ก็ไม่ควรกีดกันลูกทีมจากสิ่งเดียวกัน
ทีมของเขาทำงานกันแบบรีโมต 100% และเขาแทบไม่เคยปฏิเสธคำขอลาหยุด “ถ้าคุณไม่ได้คุยกับลูกค้า และงานคุณเสร็จ จะทำงานจากชายหาดก็ไม่มีปัญหาเลย” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า ความยืดหยุ่นนี้ต้องมากับการสื่อสารที่เปิดกว้างและความไว้วางใจว่าแต่ละคนจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ผลสำรวจจาก Glassdoor ยังพบว่า หลายคนคาดหวังว่า Gen Z จะนำพาค่านิยมใหม่ ๆ เข้ามาในที่ทำงาน โดยเฉพาะความสำคัญของ “สุขภาพจิต” และ “การดูแลตัวเอง” ซึ่งกำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการบริหาร
ด้าน แดเนียล เจ้า มองว่า นิยามของ “ผู้นำที่ดี” กำลังเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับที่ Gen Z เข้าสู่ตำแหน่งบริหาร “ไม่ได้หมายความว่า Gen Z แตกต่างโดยธรรมชาติ แต่สภาพแวดล้อมและความคาดหวังต่อพวกเขาต่างหาก ที่เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อน”
ในโลกการทำงานยุคนี้ที่ต้องรับมือทั้งโรคระบาด การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และ AI การเป็นหัวหน้าที่มี “ความฉลาดทางอารมณ์” และ “ความเห็นอกเห็นใจ” กำลังกลายเป็นทักษะจำเป็น
“สิ่งเหล่านี้ทำให้เราต้องคิดใหม่ว่า จะฝึกผู้นำยุคใหม่อย่างไร แนวทางฝึกผู้จัดการแบบเดิม ๆ อาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป และทั้งองค์กรและผู้นำรุ่นใหม่ต้องร่วมกันปรับตัวให้ทัน” นักเศรษฐศาสตร์ ย้ำทิ้งท้าย
อ้างอิง: CNBC make it, Glassdoor







