นักจิตวิทยาชี้ คนประสบความสำเร็จมักมีทักษะ 'ควบคุมอารมณ์' เก่ง

นักจิตวิทยาชี้ คนประสบความสำเร็จมักมีทักษะ 'ควบคุมอารมณ์' เก่ง

นักจิตวิทยาจากเยล เผย ทักษะอันดับ 1 ที่คนประสบความสำเร็จมีเหมือนๆ กัน นั่นคือ "ทักษะควบคุมอารมณ์" สกิลลับที่ช่วยให้คนเก่งและคนสร้างสรรค์ จัดการความไม่แน่นอนได้ดี

KEY

POINTS

  • นักจิตวิทยาชี้ว่า ทักษะการควบคุมอารมณ์ (Emotion Regulation) เป็น Soft Skill สำคัญที่คนประสบความสำเร็จและมีความคิดสร้างสรรค์มีเหมือนกัน
  • การควบคุมอารมณ์ช่วยให้สามารถรับมือกับความไม่แน่นอน ความเสี่ยง และความล้มเหลวได้โดยไม่ยอมแพ้ ทำให้ก้าวข้ามอุปสรรคและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
  • ดร.มาร์ก บราเก็ตต์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยล แนะนำวิธีฝึกฝนทักษะนี้ เช่น การเลือกใช้เวลาอย่างมีสติ, การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับอารมณ์, และการเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความล้มเหลว
  • การจัดการอารมณ์อย่างจริงใจจากภายใน (Deep Acting) มีประสิทธิภาพและส่งผลดีในระยะยาวกว่าการเสแสร้งแสดงออกทางอารมณ์ (Surface Acting)

อยากทำงานเก่งขึ้นหรือเข้าใกล้ความสำเร็จในสายอาชีพมากขึ้น ไม่ใช่ว่าจะต้องเก่ง Hard skills เฉพาะในเนื้องานที่ต้องรับผิดชอบเพียงอย่างเดียว แต่วัยทำงานยุคนี้ต้องมี Soft skills ในการทำงานด้วย ซึ่งหนึ่งในซอฟต์สกิลที่สำคัญไม่น้อยกว่าสกิลอื่นๆ เลย ก็คือ ทักษะการควบคุมอารมณ์ จะช่วยให้วัยทำงานแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ สถานการณ์

ยืนยันจาก ดร.มาร์ก บราเก็ตต์ (Marc Brackett) นักจิตวิทยาและนักวิจัยอาวุโสแห่งศูนย์ความฉลาดทางอารมณ์ มหาวิทยาลัยเยล (Yale Center for Emotional Intelligence) เผยว่า คนที่ประสบความสำเร็จและมีความคิดสร้างสรรค์จำนวนมาก ล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ ทักษะในการควบคุมอารมณ์ (Emotion Regulation) ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น “พลังวิเศษ” ของกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จสูงเลยทีเดียว

“การควบคุมอารมณ์ไม่ใช่แค่ทำให้วัยทำงานรู้สึกดีหรือมีความสุขในการทำงานเท่านั้น แต่มันคือความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนด้วยความมั่นคงทางจิตใจ” ดร.บราเก็ตต์ กล่าว

เขาอธิบายว่า การทำงานสร้างสรรค์มักมาพร้อมความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และความรู้สึกไม่สบายใจ การควบคุมอารมณ์ได้ดีจะช่วยให้เรายืนหยัดอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ได้ โดยไม่ถอดใจเร็วจนเกินไป และสามารถก้าวข้ามความท้อแท้หรือความล้มเหลว เพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง

แล้วเราจะฝึกทักษะควบคุมอารมณ์ในการทำงานได้อย่างไร? เรื่องนี้ ดร.บราเก็ตต์ แนะนำ 5 วิธีที่ใครๆ ก็สามารถฝึกฝนได้ด้วยตัวเอง ดังนี้ 

เลือกใช้เวลาอย่างมีสติ ประเมินงาน จัดลำดับก่อนหลัง

คนที่ควบคุมอารมณ์เก่ง มักจะรู้จักประเมินว่างานไหน งานอะไร ที่ทำให้พลังงานลดลง และอะไรที่เติมไฟให้กับตัวเอง เทคนิคนี้เรียกว่า Situation Selection หรือการเลือกสถานการณ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายส่วนตัว 

ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องหลีกเลี่ยงงานที่เครียดๆ แต่คุณสามารถเตรียมใจรับมือความไม่สบายใจอย่างชั่วคราวได้ดี ถ้าเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทำอยู่มีคุณค่า เช่น การลงมือทำโปรเจกต์ในฝันอย่างการเขียนหนังสือ แม้มันจะเหนื่อยหรือท้าทาย แต่การรู้ว่าผลลัพธ์จะคุ้มค่านั้นช่วยให้คุณไม่จมอยู่กับอารมณ์เชิงลบ

เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับอารมณ์

ตอนที่ ดร.บราเก็ตต์ เขียนหนังสือ(งานเสริม) เขาต้องทำมันควบคู่ไปกับงานวิจัยซึ่งเป็นงานประจำ และเขาพบว่าแค่เปลี่ยนสถานที่ทำงาน ก็ช่วยให้เข้าสู่โหมดงานเขียนหนังสือได้ดีขึ้น

“ผมเปลี่ยนจากการเขียนที่โต๊ะทำงาน ไปนั่งที่ร้านหนังสือ Barnes & Noble แทน สิ่งแวดล้อมใหม่ช่วยส่งสัญญาณให้สมองปรับโหมด ช่วยลดความเครียด และเพิ่มความสม่ำเสมอในการเขียนหนังสือของผมได้อย่างชัดเจน” เขา ย้ำ 

เบี่ยงความสนใจของตนเองอย่างชาญฉลาด

การเบี่ยงความสนใจไม่ได้เป็นแค่กลไกหนีความรู้สึก แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เรากลับมามองสถานการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณรู้สึกหงุดหงิดกับการถกเถียงเรื่องทิศทางของโปรเจกต์ ลองพักเบรกก่อน แล้วหันไปทำกิจกรรมอื่นชั่วคราว แล้วค่อยกลับมาคิดงานโปรเจกต์ต่อ

การใช้เทคนิคนี้ ไม่เพียงช่วยลดความรู้สึกเชิงลบ แต่ยังอาจทำให้คุณมองเห็นมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน อีกทั้ง มีการวิจัยพบว่า คนที่มีเป้าหมายท้าทาย และสามารถสลับทำงานไปมาได้อย่างยืดหยุ่น มักมีความคิดสร้างสรรค์และแรงจูงใจสูงขึ้นด้วย

กำหนดนิยามความล้มเหลวใหม่ อย่ามองมันเป็นอุปสรรค

ความผิดหวัง ความท้อแท้ หรือความโกรธจากความล้มเหลว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอารมณ์ที่เข้าใจได้ แต่ปัญหาคือ..อารมณ์เหล่านี้อาจกลายเป็นกำแพงขวางการพัฒนาตัวเอง หากมองมันเป็นปัญหาหรืออุปสรรค 

วัยทำงานควรปรับมุมมองใหม่ ลองถอยกลับมามองสถานการณ์ที่ทำให้เกิดอารมณ์เชิงลบเหล่านั้น ด้วยความสงสัยใคร่รู้ แล้วลองถามคำถามเหล่านี้กับตัวเอง เช่น ทำไมคนอื่นจึงตอบสนองแบบนั้น? , พวกเขาไม่สนใจ หรือแค่ยังไม่เข้าใจมุมมองของเรา? , อารมณ์ของเราเกิดจากความเครียด หรือเพราะเราห่วงสิ่งนั้นมากเกินไป?

คำถามแบบนี้ช่วยให้คุณเข้าใจสถานการณ์และเข้าใจตัวเองดีขึ้น และพร้อมจะลองใหม่อีกครั้ง

เปลี่ยนปฏิกิริยา เปลี่ยนอารมณ์

ในโลกการทำงาน เรามักต้องแสดงอารมณ์ไม่ตรงกับที่เรารู้สึกจริงๆ เช่น ต้องยิ้มแย้มกับลูกค้าแม้จะเหนื่อยมาก สิ่งนี้เรียกว่า Emotional Labor โดย ดร.บราเก็ตต์ อธิบายว่า การจัดการอารมณ์ในสถานการณ์เหล่านี้มี 2 แบบ คือ 

Surface Acting: แกล้งทำว่ารู้สึกดี ทั้งที่ข้างในไม่ได้รู้สึกดี (ไม่ได้แสดงออกทางอารมณ์อย่างจริงใจ) วิธีนี้แม้อาจได้ผลดีในการทำงานเฉพาะหน้า แต่จะทำให้วัยทำงานหมดพลังในระยะยาว

Deep Acting: พยายามปรับมุมมองและความรู้สึกจริงๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น มองว่าโอกาสนี้คือโอกาสในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ หรือช่วยใครสักคนได้จริงๆ 

ดังนั้น Deep Acting จึงมีพลังมากกว่า Surface Acting เพราะช่วยให้คุณเข้าถึงแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ได้จริง ยิ่งฝึกบ่อย ยิ่งควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น

โดยสรุปคือ คนที่ทำงานสร้างสรรค์ได้ดี และคนที่ประสบความสำเร็จสูง ไม่ได้ควบคุมอารมณ์ได้เพราะว่าพวกเขา "ไม่เคยรู้สึกแย่" แต่เป็นเพราะพวกเขา "ไม่ปล่อยให้อารมณ์ลบควบคุมชีวิต" ได้ต่างหาก

การควบคุมอารมณ์จึงไม่ใช่เรื่องของการกลั้นน้ำตาหรือฝืนยิ้มเสมอไป แต่คือการรู้ทันอารมณ์ ปรับสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนมุมมอง และหาวิธีตอบสนองอย่างสร้างสรรค์ และเมื่อคุณฝึกได้บ่อยครั้ง มันจะกลายเป็น “พลังวิเศษ” ที่คุณใช้ได้ทุกวัน และมีส่วนช่วยให้เติบโตก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างยั่งยืน

 

อ้างอิง: CNBC, Medicine Yale Edu, Sage journals