ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง พัฒนาคู่อนุรักษ์ได้จริงหรือ?

ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง หัวใจของชุมชนเล็ก ๆ ที่เต้นเงียบ ๆ มาตลอดหลายร้อยปี ที่ขณะนี้กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจพรากมันไปตลอดกาล
KEY
POINTS
- ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชุมชน กำลังเผชิญข้อพิพาทกับแผนพัฒนาที่ดินของจุฬาฯ (PMCU)
- จุดประกายให้เกิดการตั้งคำถามถึงการพัฒนาเมืองที่อาจละเลยคุณค่าทางวัฒนธรรมและผลักไสคนดั้งเดิมออกจากพื้นที่ (Gentrification)
- บทความเสนอว่าการพัฒนาและการอนุรักษ์สามารถไปด้วยกันได้ เพื่อให้เมืองเติบโตไปพร้อมกับการรักษาหัวใจของชุมชน
หากลองหลับตาแล้วนึกถึงภาพกรุงเทพฯ ในวันนี้ ภาพแรกที่อาจปรากฏขึ้นคือคอนโดสูงระฟ้า ที่เบียดเสียดกันขึ้นไปแตะเส้นขอบฟ้า ถนนตัดใหม่ที่เชื่อมกรุงเทพฯ กับปริมณฑลและจังหวัดต่างๆ
ศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานที่ส่องแสงสะท้อนจากกระจกในทุกมุมของเมือง แต่ในเงาของตึกเหล่านั้นยังมีสิ่งปลูกสร้างที่อยู่มาเนิ่นนาน และอาจมีอายุมานานยิ่งกว่า
หนึ่งในนั้นคือ “ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง” หัวใจของชุมชนเล็ก ๆ ที่เต้นเงียบ ๆ มาตลอดหลายร้อยปี ที่ขณะนี้กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจพรากมันไปตลอดกาล
นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของศาลเจ้าเล็ก ๆ ในย่านปทุมวัน แต่คือเรื่องของ “ตัวตน” ที่กำลังถูกกลบด้วยเงาของคำว่า “พัฒนา” คือคำถามที่กำลังลอยอยู่กลางเมืองใหญ่...ว่าเรากำลังสร้างเมืองเพื่อใครกันแน่
ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลืองถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยคนจีนโพ้นทะเลที่มาตั้งรกรากในไทย ก่อนจะย้ายมาตั้งบนพื้นที่บริเวณหมอน 33 เขตพาณิชย์สวนหลวง-สามย่าน หรือที่รู้จักในนามตลาดเซียงกงสามย่าน
เมื่อปี 2513 ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ของพระคลังข้างที่ ก่อนเปลี่ยนมาเป็นของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปัจจุบัน
หน้าที่ของศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สักการะเทพเจ้า แต่เป็นเหมือนศูนย์กลางของชุมชน เป็นที่รวมของความเชื่อ วิถีชีวิต เศรษฐกิจเล็ก ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างรุ่น
แต่เมื่อรูปแบบเศรษฐกิจและนโยบายการพัฒนาเมืองก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา สมการของย่านนี้ก็เปลี่ยนตามไปจน สิ่งที่เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนแห่งนี้ก็เริ่มถูกท้าทาย
จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2550 เมื่อสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาฯ หรือ PMCU ประกาศแผนพัฒนาพื้นที่รอบตลาดเซียงกงสามย่าน ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาล ให้เป็นเขตอาคารพาณิชย์และคอนโดมิเนียม
ชาวชุมชนโดยรอบถูกทยอยขอคืนพื้นที่และต้องย้ายออก เหลือเพียงผู้ดูแลศาลเจ้าที่ปฏิเสธจะย้าย ถือเป็นจุดเริ่มข้อพิพาทระหว่างศาลเจ้ากับ PMCU
มิ.ย.2563 PMCU ออกคำสั่งให้ผู้ดูแลศาลเจ้าย้ายออกภายในวันที่ 15 ของเดือนนั้น ผู้ดูแลศาลเจ้ายืนยันที่จะไม่ย้ายออกเช่นเดิม
ขณะที่นิสิตจุฬาฯ และประชาชนกลุ่มหนึ่ง ก็ลุกขึ้นเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องศาลเจ้าในฐานะมรดกของชุมชนร่วมกับผู้ดูแลศาล ทำให้เสียงของชุมชนเล็กๆ ค่อยๆ ดังขึ้น และปลุกให้สังคมส่วนหนึ่งตั้งคำถามว่า เรากำลังสร้างเมืองนี้ให้ใครกันแน่
คำถามนั้นไม่ได้ถูกเก็บไว้แค่ในใจของชุมชน แต่ถูกผลักออกสู่พื้นที่สาธารณะอย่างกว้างขวางผ่านพลังของการสื่อสารที่เปลี่ยนโครงสร้างการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในยุคใหม่
สิ่งที่น่าสนใจคือ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในศาลเจ้าหรือหน้าอาคารสำนักงาน แต่เกิดขึ้นบนหน้าฟีดโซเชียลมีเดียเพื่อเคลื่อนไหวและรณรงค์ออนไลน์ คู่ขนานไปกับโลกออฟไลน์ที่มีการล่ารายชื่อ จัดเสวนา จัดนิทรรศการ
เรื่อยไปถึงการสร้างภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Last Breath of Sam Yan โดยเปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ ออกฉายเมื่อปี 2566 ผลักดันให้สื่อกระแสหลักนำกรณีพิพาทนี้ไปขยายต่อ
การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ ไม่ใช่แค่การปกป้องศาลเจ้า แต่คือ “การเรียกคืนความทรงจำของสาธารณะ” เพื่อให้เห็นว่าเบื้องหลังการพัฒนามีคนธรรมดาๆ จำนวนมากที่กำลังถูกมองข้าม
คุณูปการหนึ่งของกรณีพิพาทศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง คือ ทำให้เราได้สำรวจบทบาทของศาลเจ้าที่มีต่อเมืองในมิติอื่นๆ ที่พ้นไปจากมิติความเชื่อในระบบเทพเจ้าจีน แต่อาจไม่เคยถูกมองเห็นในแผนการพัฒนาเมือง
ในมิติเศรษฐกิจ ศาลเจ้าแห่งนี้คือ “ตลาดชีวิต” รอบศาลมีร้านขายธูปเทียน ของไหว้และร้านอาหาร ที่สามารถดึงคนจากทั้งในและนอกพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกัน เกิดเป็นเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ทำให้คนหาเช้ากินค่ำอยู่ได้
การย้ายหรือรื้อศาลเจ้าออกไป จึงอาจไม่ได้เปลี่ยนแค่ผังเมือง แต่เป็นการตัดสายใยทางเศรษฐกิจระดับชุมชน ที่กระทบต่อสายสัมพันธ์ระหว่างคนรุ่นต่างๆ ในย่านนี้
ส่วนมิติสังคมและวัฒนธรรม ศาลเจ้าแห่งนี้ก็ไม่ได้มีคุณค่าเพียงเพราะความเก่าแก่หรือความงดงามทางสถาปัตยกรรมเท่านั้น หากแต่เป็นพื้นที่ที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ เป็นศูนย์รวมกิจกรรมประเพณีของชุมชน จุดนัดพบของสมาชิกในชุมชน และพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ก่อรูปความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างต่อเนื่อง
ก่อตัวเป็น “พื้นที่ความทรงจำ” ทำให้การดำรงอยู่ของศาลเจ้ามีความหมายต่อการดำรงอยู่ของชุมชน หากพื้นที่นี้ถูกแปรสภาพไป ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางกายภาพของเมือง แต่ยังอาจกระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้คนและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมในชุมชนเมืองดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลืองจะมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมอย่างมีนัยสำคัญมากเพียงใด ในบริบทของรัฐไทย ยังคงขาดกลไกทางกฎหมายที่จะช่วยคุ้มครองศาลเจ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้จะมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ให้บุคคลและชุมชนมีสิทธิในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นของตนได้
แต่ในทางปฏิบัติชุมชนกลับไม่มีเครื่องมือทางกฎหมายที่เอื้อให้สิทธินั้นเป็นจริงได้ โดยเฉพาะเมื่อตัวศาลเจ้าไม่ได้ตั้งอยู่บนที่ดินของรัฐ หรือยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการให้ความคุ้มครองตามกฎหมาย
สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นช่องว่างเชิงโครงสร้างทางกฎหมายที่ยังคงยึดโยงกับแนวคิดเรื่องกรรมสิทธิ์เอกชน มากกว่าการให้คุณค่ากับสิทธิของชุมชนในการดำรงอยู่ในพื้นที่ที่พวกเขาผูกพันทางวัฒนธรรมมายาวนาน และยังสะท้อนปรากฏการณ์ การแปลงพื้นที่เพื่อเปลี่ยนชนชั้น (gentrification) ที่ด้านหนึ่งก็ช่วยยกระดับกายภาพของเมือง
แต่อีกด้านก็ผลักผู้คนรายได้น้อยออกจากพื้นที่ที่พวกเขาเคยอยู่อาศัย โดยมีกลไกทางกฎหมายและนโยบายเป็นเครื่องมือสำคัญ ขณะที่องค์ประกอบทางสังคมบนพื้นที่นั้น ทั้งผู้คน วิถีชีวิต และคุณค่าทางวัฒนธรรม ก็ถูกแปลสภาพไปจนอาจไม่เหลือเค้าเดิม
ปรากฏการณ์ Gentrification นี้ ผู้เขียนได้เคยเขียนไว้ในบทความเรื่อง “Gentrification แปลงพื้นที่เพื่อเปลี่ยนชนชั้น (ย่านผู้ดี)” ที่ได้เคยตีพิมพ์ไว้ก่อนหน้าในคอลัมน์เดียวกันได้ยกตัวอย่างย่านบุคชอนในกรุงโซล เกาหลีใต้ ที่เคยเป็นย่านเก่าแก่ของคนธรรมดา
แต่ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกซื้อและพัฒนาโดยผู้มีเศรษฐสถานะ ซึ่งแม้ภายนอกจะยังคงลักษณะสถาปัตยกรรมโบราณไว้ แต่ภายในกลับกลายเป็นบ้านสมัยใหม่สุดหรูที่อยืท่ามกลางบ้านอีกหลายหลังที่ถูกทิ้งร้างเพราะเจ้าของเดิมไม่สามารถรับภาระค่าครองชีพได้อีกต่อไป
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า Gentrification เป็นมากกว่าการพัฒนาแต่ในทางตรงกันข้ามคือกระบวนการทางชนชั้นที่ทำให้คนบางกลุ่มไม่มีที่ยืนแม้อยู่ในพื้นที่เดิมของตน
กรณีพิพาทศาลเจ้าแม่ทับทิมและผลกระทบจากแนวคิด gentrification คือ ภาพสะท้อนการพัฒนาเมืองที่ไม่ฟังเสียงชุมชน เสี่ยงต่อการกลายเป็นพื้นที่ที่ออกแบบเพื่อตอบสนองทุนและผลตอบแทนมากกว่าความทรงจำ ศรัทธา และวิถีชีวิตของผู้คนที่เคยสร้างเมืองขึ้นมา
กลายเป็นบททดสอบสำคัญของสังคมในการนิยามว่า “ความเจริญ” จะสามารถอยู่ร่วมกับ “ความเป็นธรรมเชิงพื้นที่” ได้หรือไม่
ในขณะที่เรายังไร้ระบบกฎหมายที่สามารถคุ้มครองพื้นที่ทางวัฒนธรรมระดับชุมชนได้อย่างเพียงพอประเทศต่าง ๆ มีแนวทางที่น่าสนใจ ออสเตรเลียมีกฎบัตร Burra Charter ที่ให้สิทธิแก่ชุมชนในการอนุรักษ์มรดกของตนเอง
ญี่ปุ่นใช้ระบบ Denken Chiku ที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมือกรรมสิทธิ์เพื่อรักษาย่านวัฒนธรรม ฮ่องกงยังคงรักษาศาลเจ้าแม่กวนอิมในย่านหม่องก็อกไว้อย่างกลมกลืนกับตึกระฟ้า
นี่แสดงให้เห็นว่า การพัฒนาและการอนุรักษ์ไม่จำเป็นต้องแยกทางกัน หากมีเจตจำนงทางนโยบายและกลไกกฎหมายที่ยืดหยุ่นและยุติธรรม
“การอนุรักษ์” จึงไม่ใช่แค่การรักษาอาคารเก่า หากแต่เป็นการรักษาความสัมพันธ์ทางสังคม วิถีชีวิตและความทรงจำของผู้คนในพื้นที่ดั้งเดิมให้คงอยู่และร่วมทางไปกับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ที่เกิดจากการรับฟังเสียงของทุกฝ่ายอย่างแท้จริง ไม่ทิ้งหัวใจของผู้คนไว้ข้างหลัง
เราจึงควรเริ่มคิดใหม่ ทำใหม่ ไม่ว่าจะเป็น การออกกฎหมายที่คุ้มครองพื้นที่วัฒนธรรมชุมชน แม้อยู่บนพื้นที่ร่วมทุนระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อดูแลอาคารสำคัญที่มีระบบเช่าระยะยาวให้ชุมชนสามารถอยู่ต่อได้ หรือเพิ่มการประเมินผลกระทบทางวัฒนธรรมในทุกโครงการพัฒนาเมือง ไม่ต่างจากการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
เพราะเมืองที่ดี คือ เมืองที่มีที่ว่างให้กับทุกชีวิต เมืองที่ตระหนักถึงความหลากหลายของสถานะทางสิทธิ ทั้งผู้มีกรรมสิทธิ์และผู้ไม่มีกรรมสิทธิ์ให้สามารถอยู่อาศัยและมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองได้อย่างเสมอภาค
ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง อาจเป็นเพียงจุดเล็กๆ บนแผนที่กรุงเทพฯ แต่คือสัญญาณที่กำลังเตือนเราว่า ในขณะที่เมืองกำลังถูกพัฒนา เราก็สามารถเลือกที่จะสร้างความเจริญไปพร้อมกับการรักษาหัวใจของชุมชนให้เติบโตไปด้วยกันได้ ในนามของความเจริญ.
กองบรรณาธิการ : ขอบคุณภาพประกอบจาก facebook.com/ เจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง







