พนักงาน 'ชายแท้' ยุคนี้ สงบปากสงบคำในที่ทำงาน พูดไม่คิดอาจตกงาน

พนักงาน 'ชายแท้' ยุคนี้ สงบปากสงบคำในที่ทำงาน พูดไม่คิดอาจตกงาน

ชายแท้ผิวขาวในสหรัฐนับล้าน ไม่กล้าแสดงความเห็นทางสังคมในที่ทำงาน กลัวถูกแบนหรือตกงาน บางรายฟ้องบริษัทเพราะรู้สึกถูกกีดกัน เมื่อความหลากหลายกลายเป็นดาบสองคม

KEY

POINTS

  • ชายแท้สมัยนี้รู้สึกถูกกดดันในที่ทำงาน ชายผิวขาวอายุ 18-29 ปีในสหรัฐฯ เกือบ 12 ล้านคนรู้สึกว่าต้องระวังคำพูดในที่ทำงาน เพราะกลัวถูกมองว่าไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความหลากหลาย
  • หลายคนเชื่อว่าความเป็นชายแท้กระทบต่อโอกาสก้าวหน้า หลายคนระบุว่าตนเคยพลาดเลื่อนตำแหน่งหรือโอกาสสำคัญในอาชีพ เพราะรู้สึกว่าถูกมองข้ามจากการเป็นชายแท้ผิวขาว ท่ามกลางกระแสสนับสนุนความหลากหลายที่สุดโต่ง
  • ทั้งจากคำบอกเล่าของผู้ชายในหลายสายอาชีพ และมุมมองจากนักวิชาการ บ่งชี้ว่า แนวทางความหลากหลายแบบสุดโต่งอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติแบบใหม่ บางเคสจบลงด้วยการฟ้องร้อง

ในยุคหนึ่งกลุ่มวัยทำงานที่เป็น "เพศชาย ผิวขาว เรียนจบสูง ฐานะดี" หรือถูกนิยามว่าเป็น ชายแท้ คือภาพจำของผู้ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ถูกยอมรับจากสังคม ได้รับความนับถือ มีสิทธิมีเสียงมากกว่ากลุ่มคนวัยทำงานเพศอื่นหรือสีผิวอื่น แต่วันนี้ ผู้คนเรียกร้องความหลากหลายและความเท่าเทียมในสังคม (รวมถึงในที่ทำงาน) เหล่า "ชายแท้" กลับตกเป็นเป้าหมายการโดนเหยียด จนพวกเขาไม่กล้าพูดแสดงความเห็นใดๆ อีกต่อไป เพราะหากพูดไม่สอดคล้องกับกระแสสังคมก็เสี่ยงตกงาน!

โดยเฉพาะในสังคมอเมริกัน ประเด็นเหล่านี้กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ดูเหมือนว่าหลายๆ บริษัท หลายๆ องค์กรในสหรัฐอเมริกา กำลังกลายเป็นพื้นที่สุ่มเสี่ยงทางสังคมแบบใหม่ โดยเฉพาะสำหรับวัยทำงานชายผิวขาวรุ่นใหม่ที่รู้สึกเหมือนต้อง “ระมัดระวังคำพูดอย่างมาก” ทุกครั้งที่เปิดปากคุยเรื่องอะไรก็ตาม

ล่าสุด..มีผลสำรวจาก J.L. Partners ที่จัดทำสำหรับรายการพอดแคสต์ที่ชื่อว่า White Men Can’t Work! เปิดเผยว่า ชายผิวขาววัยทำงานคนรุ่นใหม่ อายุ ในสหรัฐฯ ในวัย 18-29 ปี ราว 12 ล้านคน รู้สึกว่าต้องเก็บงำความคิดหรือคำพูดในที่ทำงาน เพราะกลัวว่าจะถูกตำหนิ ถูกมองว่าไม่เหมาะสม หรือแม้กระทั่งตกงาน หากแสดงความคิดเห็นผิดแผกจากกระแสหลัก

ไม่เพียงแค่ความรู้สึกกลัวเท่านั้น หลายคนยังเชื่อว่าความเป็นชายผิวขาวทำให้พวกเขาพลาดโอกาสในอาชีพการงาน โดย 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่าง หรือประมาณ 6 ล้านคน บอกว่าตนเองเคยพลาดเลื่อนตำแหน่งหรือโอกาสก้าวหน้า เพราะเชื่อว่า ความเป็นชายแท้ผิวขาว (เพศและสีผิว) ของตน เป็นปัจจัยให้ถูกมองข้าม และไม่สำคัญในที่ทำงาน

วัฒนธรรม "WOKE (ตื่นรู้)" ที่มากเกินไปจนสุดโต่ง อาจ Toxic ได้?

ทิม ซามูเอลส์ (Tim Samuels) ผู้สร้างสารคดีจาก BBC และ National Geographic ซึ่งอยู่เบื้องหลังพอดแคสต์ชุดนี้ กล่าวว่า “ผู้ชายจำนวนหลายล้านคนต้องระมัดระวังคำพูดในที่ทำงาน เพราะรู้ดีว่าความเป็นชายแท้ในยุคนี้อาจกลายเป็นอุปสรรคต่ออาชีพ” พร้อมเสริมว่า ขนาดของความรู้สึกกดดัน การเซ็นเซอร์ตนเอง และความวิตกในที่ทำงานตอนนี้ “พุ่งขึ้นสูงมากอย่างน่าตกใจ”

เมื่อดูในทุกช่วงอายุ พบว่า 43% ของชายผิวขาวในสหรัฐฯ หรือราว 41 ล้านคนรู้สึกว่าต้องเก็บงำความคิดเห็น หรือสงบปากสงบคำเอาไว้ ส่วนอีกกว่า 25 ล้านคนเชื่อว่าตนสูญเสียโอกาสทำงานหรือความก้าวหน้า เพราะเป็นชายผิวขาว

ซามูเอลส์บอกว่า สารคดีชุดนี้เจาะลึกผลกระทบของ "นโยบายด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม" หรือ DEI (Diversity, Equity, and Inclusion) ซึ่งกำลังแพร่หลายไปทั่วองค์กรธุรกิจในสหรัฐฯ แต่ในอีกมุมหนึ่ง เขามองว่าสิ่งนี้ได้จุดชนวนให้เกิด “การเลือกปฏิบัติย้อนกลับ” ต่อชายแท้ผิวขาวในสังคมอเมริกัน

“เราคุยกับผู้ชายบางคนที่ถูกไล่ออกเพียงเพราะเป็นผู้ชาย หรือถูกตำหนิจากเรื่องเล็กๆ อย่างการใช้คำว่า ‘หัวต่อสายเคเบิลของผู้ชาย หรือ หัวต่อสายเคเบิลของผู้หญิง’ ตอนพูดถึงการติดตั้งสายเคเบิลด้วยซ้ำ เรื่องแค่นี้ก็ต้องแยกเพศ” ซามูเอลส์กล่าว

เปิดคำบอกเล่าจากปาก 'ชายแท้' หลากหลายสายอาชีพที่เคยโดนเหยียด

‘เจมส์’ ในฐานะชายแท้ที่ทำอาชีพครูคนหนึ่ง เล่าว่า แผนกบุคคลในโรงเรียนออกตัวชัดว่า “จะไม่ให้ผู้ชายอีกคนมาเป็นหัวหน้าคนใหม่แน่นอน”

ขณะที่ ‘มาร์ก’ จากสายงานการเงินเผยว่า เขาเคยถูกปฏิเสธตำแหน่งงาน เพราะลูกค้าระบุชัดเจนว่าต้องการเฉพาะผู้สมัครหญิงเท่านั้น “ไม่แปลกเลยที่ผู้ชายจำนวนมากจบเส้นทางอาชีพของตัวเองในวัย 40 หรือ 50 ปี”

ด้านนักจิตวิทยาคลินิก "ดร.แครอล เชอร์วูด" (Dr.Carole Sherwood) ให้ความเห็นว่า “ตอนนี้เรากำลังเผชิญวิกฤตการคิดเหมารวมแบบกลุ่ม (groupthink) และมันน่าเศร้ามาก เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกถูกประณาม โดดเดี่ยว และบางเคสก็ถึงขั้นจบชีวิตตัวเอง ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นเลย”

แม้แต่ผู้หญิงบางคนก็เริ่มรู้สึกว่าแรงผลักดันด้านความหลากหลายอาจพุ่งไปสุดทางมากเกินไป เช่น นักดับเพลิงหญิงรายหนึ่งบอกว่า ชายผิวขาว “ถูกมองข้ามอย่างชัดเจน” ในการคัดสรรเลือกรับพนักงานเข้าใหม่

‘แซลลี’ คนงานเหมืองหญิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “สิ่งที่เราต้องการคือโอกาส และการทำงานที่ไม่ต้องเจอการคุกคามทางเพศ แต่ตอนนี้เหมือนแรงเหวี่ยงกลับตีกลับไปอีกฝั่งมากเกินไปแล้ว”

กรณีศึกษา: อดีตทีมเขียนบทซีรีส์ฟ้องบริษัทใหญ่ เพราะรู้สึกถูกมองข้ามทางอาชีพ

ในอีกกรณีหนึ่งที่เป็นข่าวเมื่อปี 2024 "ไบรอัน เบเนเกอร์" (Brian Beneker) อดีตผู้ประสานงานบทในซีรีส์ “SEAL Team” ยื่นฟ้องบริษัท Paramount Global, CBS Entertainment และ CBS Studios โดยกล่าวหาว่า ตนถูกมองข้ามในการเลื่อนตำแหน่งหลายครั้ง เพราะเป็นชายแท้ผิวขาวที่มีรสนิยมทางเพศแบบตรงไปตรงมา

ขณะที่องค์กร America First Legal (AFL) ซึ่งเป็นตัวแทนทางกฎหมายให้เบเนเกอร์ ระบุว่า คดีนี้จบลงด้วยการเจรจายุติคดีแบบเงียบๆ หลังจากที่ Paramount เริ่มลดบทบาทของนโยบาย DEI ที่เคยชูเป็นจุดขายอย่างชัดเจน โดย นิค แบร์รี ที่ปรึกษาอาวุโสของ AFL กล่าวว่า การยุติเรื่องนี้เป็นไปอย่าง “น่าพอใจ”

ด้านศาสตราจารย์อเล็กซ์ เอ็ดแมนส์ (Alex Edmans) จาก London Business School เปรียบกระแส DEI กับ “ฟองสบู่เทคโนโลยี ฟองสบู่ดอกทิวลิป และฟองสบู่ทะเลจีนใต้” โดยมองว่านโยบายเหล่านี้ “ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและหลักฐานที่แข็งแรง” 

อย่างไรก็ตาม กระแสการเหยียดเพศในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเพศใดก็ตาม ยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในสหรัฐเท่านั้น ทางออกของปัญหานี้คงต้องอาศัยการพูดคุยอย่างเปิดใจจากทั้งผู้นำองค์กรและตัวแทนพนักงานทุกฝ่าย เพื่อให้คนทุกเพศทุกสีผิวทำงานร่วมกันอย่างจริงใจให้ได้

 

อ้างอิง: NewYork Post, newsfromwalesWhite Men Can't Work!