ยิ่งใช้ AI ทำงานอาจยิ่งโง่ลง? MIT ชี้ ผู้ใช้ 83% จำงานตัวเองไม่ได้

MIT ชี้ผลวิจัยน่าตกใจ ใช้ ChatGPT ทำงานมากเกินไป อาจทำให้วัยเรียน-วัยทำงานโง่ลง! สมองเฉื่อย จำสิ่งที่เขียนเองไม่ได้ถึง 83% อีกทั้งพบการเชื่อมโยงของเซลล์สมองลดลง
KEY
POINTS
- MIT เผยผลวิจัย สุดอึ้ง ยิ่งใช้ ChatGPT มากเกินไป ก็อาจยิ่ง “โง่ลง” ไม่รู้ตัว 83% ของผู้ใช้งาน จำสิ่งที่ตัวเองเขียนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนไม่ได้ สะท้อนว่า AI อาจทำให้สมองเราทำงานน้อยลง ทั้งด้านความจำและความคิดลึกซึ้ง
- โดยเฉพาะเมื่อใช้งาน AI ตั้งแต่เริ่มต้นโดยไม่ผ่านการไตร่ตรอง ผลกระทบอาจลุกลามถึงทักษะการเรียนรู้และการทำงาน จนผู้ใช้สูญเสียความคิดสร้างสรรค์ ความรู้สึกเป็นเจ้าของงาน และความสามารถในการสื่อสาร
- การใช้ AI ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป ถ้าใช้ให้ถูกวิธี โดยเน้นเอามาช่วยงานเสริมความคิด ไม่ใช่ใช้มันคิดแทนทั้งหมด ควรเริ่มต้นจากไอเดียของตนเอง แล้วใช้ AI เป็นผู้ช่วยในการต่อยอด จะมีประโยชน์มากกว่า
เตือนภัยเงียบยุค AI ครองเมือง! ขณะที่หลายคนมองว่า AI อย่าง ChatGPT เป็นตัวช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานโดยเฉพาะด้าน "งานเขียน" แต่ผลวิจัยล่าสุดจาก MIT กลับชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งที่น่ากังวลว่า การที่วัยเรียน-วัยทำงานใช้ ChatGPT มากเกินไป อาจทำให้คิดเองน้อยลง สมองเฉื่อยลง สูญเสียความสามารถในการจำ วิเคราะห์ และคิดเชิงสร้างสรรค์ในระยะยาว
งานวิจัยชิ้นดังกล่าวจัดทำภายใต้หัวข้อ Your Brain on ChatGPT: Accumulation of Cognitive Debt when Using an AI Assistant for Essay Writing Task โดยทีมวิจัยจาก MIT Media Lab ได้ติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้งาน AI ขณะเขียนบทความ พบว่า กลุ่มที่พึ่งพา ChatGPT มากที่สุด กลับมีประสิทธิภาพทางสมองลดลงอย่างเห็นได้ชัด
การศึกษาดังกล่าวได้ทำการทดลองกับผู้เข้าร่วม 54 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาวิทยาลัยในพื้นที่บอสตัน อายุระหว่าง 18 - 39 ปี นักวิจัยให้พวกเขาทำภารกิจ "เขียนเรียงความ" โดยใช้วิธีการ 3 แบบ คือ ใช้ ChatGPT, ใช้เครื่องมือค้นหา (เช่น Google Search) และใช้เพียงความสามารถทางปัญญาของตนเอง
จกานั้นทีมวิจัยได้บันทึกกิจกรรมทางสมองของผู้เข้าร่วมทดลอง โดยใช้เครื่องมือ Electroencephalography (EEG) ครอบคลุม 32 ส่วนของสมอง เพื่อประเมินการมีส่วนร่วมทางปัญญาและภาระการรู้คิดในระหว่างการทำภารกิจ นอกจากนี้ ยังมีการให้คะแนนเรียงความโดยครูผู้สอนและ AI ด้วย
ผลวิจัยที่น่าตกใจ ผู้ใช้งาน AI สูญเสียความสามารถในการจดจำและกิจกรรมสมองลดลง
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าตกใจ โดยพบว่าผู้ใช้ ChatGPT กว่า 83% ประสบปัญหาในการจดจำข้อมูลจากเรียงความที่เพิ่งเขียนไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ในทางกลับกัน มีเพียง 10% ของผู้ที่ไม่ได้ใช้ AI หรือใช้ Google Search เท่านั้นที่มีปัญหาการจดจำในลักษณะเดียวกัน
อเล็กซ์ แวกก้า (Alex Vacca) ผู้ร่วมก่อตั้ง ColdIQ ซึ่งเป็นเอเจนซี่ด้านเทคโนโลยีการขาย ได้กล่าวถึงผลการวิจัยนี้ว่า "น่าสะพรึงกลัว" และชี้ว่า AI ไม่ได้ทำให้เรามีประสิทธิผลมากขึ้น แต่กลับทำให้เราหมดสิ้นทางสติปัญญา (cognitively bankrupt) เขากล่าวเสริมว่า "คุณเขียนบางสิ่ง กดบันทึก และสมองของคุณก็ลืมมันไปแล้ว เพราะ ChatGPT เป็นผู้คิดแทนให้"
นอกจากนี้ นักวิจัยยังสังเกตเห็นว่าการเชื่อมต่อของเซลล์สมองของผู้ร่วมทดลอง "ลดลง" ตามระดับการสนับสนุนจากภายนอก จากการใช้เครื่องติดตามการทำงานของสมอง พบว่าในกลุ่มผู้ทดลองที่ใช้สมองตนเองเพียงอย่างเดียวในการเขียนงาน โชว์ให้เห็นเครือข่ายระบบประสาทที่แข็งแกร่งที่สุดและกว้างขวางที่สุด รวมถึงมีการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทที่สูงสุด ทั้งคลื่นสมองประเภท Alpha, Theta และ Delta ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ การจดจำ และการประมวลผลทางภาษา
ในขณะที่กลุ่มทดลองที่ใช้เครื่องมือ Google ช่วยค้นหาข้อมูลในงานเขียน พบว่า สมองของพวกเขาแสดงการมีส่วนร่วมในระดับปานกลาง และกลุ่มที่พึ่งพา LLM อย่าง ChatGPT แสดงการเชื่อมโยงโดยรวมที่อ่อนแอที่สุด
ข้อมูล EEG ยืนยันว่าผู้ใช้ ChatGPT มีกิจกรรมในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจและความจำระยะยาวต่ำลง โดยจำนวนการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทที่ทำงานลดลงจาก 79 จุด เหลือ 42 จุด อีกทั้งผู้ใช้ ChatGPT ยังแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมด้านการบริหารจัดการและการเอาใจใส่ที่ต่ำกว่าอีกด้วย
"หนี้ทางปัญญา" ต้นทุนระยะยาวของความสะดวกสบายระยะสั้น
การวิจัยระบุอีกว่า การที่คนเราพึ่งพาการช่วยเหลือจาก AI ซ้ำๆ สามารถนำไปสู่การสะสมของ "หนี้ทางปัญญา (cognitive debt)" ซึ่งทำให้เรามีความพึงพอใจในระยะสั้น แต่กลับมีต้นทุนที่ต้องจ่ายในระยะยาว เช่น ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ลดลง, เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกบิดเบือนข้อมูล, และความคิดสร้างสรรค์ลดลง
หัวหน้าทีมวิจัยอย่าง ดร.นาทาลิยา คอสมินา (Nataliya Kosmyna) อธิบายว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัว AI เอง แต่อยู่ที่ "วิธีการใช้" ของคนเราต่างหาก การใช้ AI ทำงานให้ทั้งหมด มันจะเข้ามาแทนที่กระบวนการคิดอย่างอิสระของมนุษย์
“พอคุณเริ่มต้นทำงานโดยใช้ AI ตั้งแต่แรก คุณจะหยุดคิดเองโดยอัตโนมัติ ทั้งการวางแผน การวิเคราะห์ และการเรียบเรียงล้วนหายไปหมด คุณอาจบอกว่ามันมีประสิทธิภาพและสะดวกสบาย แต่คุณโดยพื้นฐานแล้วไม่ได้รวมข้อมูลใดๆ เข้าไปในเครือข่ายความจำของคุณเลย” ดร.นาทาลิยา อธิบาย
สำหรับกลุ่มทดลองที่ใช้ Google ช่วยหาข้อมูล แม้จะเป็นการได้รับความช่วยเหลือภายนอกเช่นกัน แต่การเสิร์ชยังต้องใช้การตั้งคำถาม เลือกแหล่งข้อมูล และวิเคราะห์เนื้อหาเอง คนเรายังได้ใช้สมองตัวเองทำงานอยู่ ต่างจากกลุ่มที่ใช้ ChatGPT ทำงาน ที่มันให้คำตอบทันทีโดยไม่ต้องใช้กระบวนการคิดใดๆ ของคนเราเลย
AI สร้างผลกระทบต่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้อายุน้อย
รายงานฉบับนี้ซึ่งยังไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญ (peer-review) ชี้ให้เห็นว่า การใช้ AI ทำงานให้ในทุกขั้นตอน อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ที่อายุน้อย นักวิจัยเน้นย้ำว่า นี่เป็น "ประเด็นเร่งด่วนของทักษะการเรียนรู้ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด" หัวหน้าทีมวิจัยแสดงความกังวลอย่างยิ่งว่า อาจมีผู้ใหญ่ในแวดวงการศึกษาบางส่วนสนใจนโยบายที่จะทำให้ "โรงเรียนอนุบาลใช้ ChatGPT ในการเรียนการสอน" ซึ่งเธอเห็นว่า "แย่และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง" โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ "สมองที่กำลังพัฒนา" ของเด็กๆ
นายแพทย์ จีชาน ข่าน (Zishan Khan) จิตแพทย์ผู้รักษากลุ่มเด็กและวัยรุ่น กล่าวว่า การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจมี "ผลกระทบทางจิตวิทยาและการรู้คิดที่แย่ลงได้อย่างไม่คาดคิด" โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนหนุ่มสาวที่สมองยังคงพัฒนาอยู่" ซึ่งอาจทำให้ การเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทที่ช่วยในการเข้าถึงข้อมูล ความจำของข้อเท็จจริง และความสามารถในการฟื้นตัว ทั้งหมดนั้นจะอ่อนแอลง
นอกจากนี้ เรียงความที่เขียนโดยผู้ใช้ ChatGPT ส่วนใหญ่มีลักษณะ "ไม่มีชีวิตชีวา" และ "จืดชืด" ตามการประเมินของครูผู้สอน โดยมักขาดความคิดริเริ่มและพึ่งพาสำนวนและแนวคิดที่ซ้ำซาก อีกทั้งผู้ใช้งาน AI ยังรายงานความรู้สึกเป็นเจ้าของผลงานการเขียนของตนเองต่ำที่สุด ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่ใช้สมองเพียงอย่างเดียวในการเขียนงาน แสดงความพึงพอใจและมีความเป็นเจ้าของผลงานของตนเองสูงกว่ามาก
ทั้งนี้ ในการศึกษาดังกล่าวไม่ได้ระบุว่า ChatGPT เป็นอันตรายโดยเนื้อแท้ ทีมข่าวกรุงเทพธุรกิจเองจึงได้ลองถามประเด็นนี้กับ ChatGPT เช่นกันว่า "ผลวิจัยนี้บอกว่าคนใช้ ChatGPT เยอะเกินไปแล้วจะโง่ลง คิดว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ไหม?"
และเราก็ได้คำตอบว่า "ใช่, มีความเป็นไปได้ ที่การใช้ ChatGPT หรือ AI อื่น ๆ มากไปโดยไม่คิดเอง จะทำให้สมองทำงานน้อยลงในบางด้านความจำ การวิเคราะห์ หรือความคิดสร้างสรรค์ แต่ ไม่ใช่ว่า AI ทำให้โง่ลงโดยตรง แต่เพราะเราเลือกจะไม่ใช้สมองเองต่างหาก"
สมองคนเราจะยังทำงานได้ดี หากใช้ AI แค่ช่วยเสริม ไม่ใช่ใช้งานมันตั้งแต่ต้น
ที่น่าสนใจคือ เมื่อทีมวิจัยให้กลุ่มผู้เข้าร่วมทดลองที่ใช้สมองคิดงานเพียงอย่างเดียว มาลองใช้ ChatGPT ในช่วงท้ายของการศึกษา แล้วตรวจสอบการทำงานของสมองอีกครั้ง ก็พบว่า สมองมีประสิทธิภาพการรับรู้ที่ดีขึ้นและการเชื่อมต่อของสมองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในทุกช่วงความถี่ของ EEG
จุดนี้ชี้ให้เห็นว่า หากใช้ AI อย่างถูกวิธี อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ได้ แทนที่จะลดทอนลง นักวิจัยแนะนำว่าควรเริ่มต้นด้วยแนวคิดของตนเอง และใช้ AI เป็น "ผู้ช่วย" ไม่ใช่ "ให้คิดแทนทั้งหมด" เพื่อให้สามารถใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างมีกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความคิดสร้างสรรค์
อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้มีข้อจำกัดบางประการ เช่น ขนาดกลุ่มทดลองตัวอย่างที่ค่อนข้างเล็ก (54 คน) และเน้นเฉพาะการเขียนเรียงความ ไม่ได้สำรวจผลกระทบต่อภารกิจอื่นๆ เช่น การเขียนโค้ดหรือศิลปะสร้างสรรค์ และยังไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญ (แต่วิธีการวิจัยอิงจากข้อมูลสมองจริง)
ทีมงานของ ดร.นาทาลิยา กำลังดำเนินการศึกษาเพิ่มเติม รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับการเขียนโค้ด ซึ่งสัญญาณเริ่มต้นบ่งชี้ว่าผลกระทบทางปัญญาอาจเด่นชัดยิ่งขึ้น หัวหน้าทีมวิจัยยังเปิดเผยว่าเธอได้ใส่ "กับดัก AI" (AI traps) ไว้ในรายงานฉบับนี้ เพื่อทดสอบความสามารถของ AI ในการสรุปข้อมูล และพบว่า บางครั้งมันก็ "ให้ข้อมูลลวง" (hallucinate) ที่ไม่เป็นความจริง เช่น การระบุเวอร์ชันของ ChatGPT ที่ใช้ในการวิจัย
โดยสรุปแล้ว ความสำคัญจากการศึกษานี้คือ ทั้งนักเรียนคนทำงานอย่าปล่อยให้ ChatGPT คิดแทนคุณ การสร้างสมดุลระหว่างการบูรณาการ AI เข้ากับการมีส่วนร่วมทางความคิดที่เป็นอิสระ มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อการเรียนรู้และทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ การวิเคราะห์ และความคิดสร้างสรรค์
อ้างอิง: TechStartups, Cointelegraph, Time, AI n vest