รักอย่างเดียวกินไม่ได้! Gen Z มองความมั่งคั่งสำคัญต่อการแต่งงาน

วิจัยเผย วัยทำงาน Gen Z มองปัจจัยหลักก่อนแต่งงานคือ มรดกครอบครัวและความมั่งคั่งของคู่ครอง ไม่ใช่แค่ความรักอย่างเดียว ท่ามกลางค่าครองชีพสูง บ้านราคาแพงลิ่ว
KEY
POINTS
- Gen Z เริ่มมอง “ความมั่นคงทางการเงิน” เป็นปัจจัยหลักในการเลือกคู่ชีวิต หรือก่อนตัดสินใจแต่งงาน ไม่ใช่แค่ความรักอย่างเดียว เงื่อนไขสำคัญคือ ต้องดูว่าครอบครัวอีกฝ่ายมีทรัพย์สินหรือไม่
- Bank of Mom and Dad (เงินมรดกพ่อแม่) กลายเป็นกลไกสำคัญในระบบเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องการซื้อบ้าน การแต่งงาน และการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งคนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่สามารถทำได้หากขาดการสนับสนุนจากครอบครัว
- ยุค Inheritocracy กำลังแทนที่ Meritocracy โอกาสในการมีชีวิตคู่ถูกกำหนดด้วยมรดกและการส่งต่อทรัพย์สินจากพ่อแม่ มากกว่าความสามารถหรือความขยันของตัวเอง ซึ่งอาจสร้างช่องว่างทางชนชั้นใหม่ในสังคม
นี่ไม่ใช่การขุดทอง แต่เป็นความจำเป็นที่วัยทำงานรุ่นใหม่สมัยนี้ มักเลือกคู่ชีวิตที่มาพร้อมฐานะทางการเงินมั่นคง ผู้เชี่ยวชาญเตือน สังคมกำลังเข้าสู่ยุค Inheritocracy (การรับมรดกตกทอด) ที่โอกาสในชีวิตไม่ได้มาจากความสามารถของตัวเอง แต่มาจาก "เงินของพ่อแม่"
ในอดีต เราอาจเชื่อว่า “ความรัก” คือหัวใจหลักของการแต่งงาน แต่สำหรับคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z กลับมองว่าเรื่องเงินกำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญแซงหน้าความรักมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ "เงินของพ่อแม่" หรือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนผ่านของสังคมและเจนเนอเรชันอย่าง ดร.เอลิซา ฟิลบี เรียกว่า Bank of Mom and Dad
ดร.เอลิซา ฟิลบี (Dr.Eliza Filby) ผู้เขียนหนังสือขายดี Inheritocracy: It's Time to Talk About the Bank of Mum and Dad เผยว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจาก “Meritocracy” ที่เชื่อว่า “ถ้ามีความขยันและเก่งแล้วชีวิตจะสำเร็จ” ไปสู่ “Inheritocracy” หรือ “สังคมที่โอกาสในชีวิตถูกกำหนดด้วยมรดกและความมั่งคั่งจากครอบครัว”
“นี่คือยุคที่แต่งงานกันระหว่างสองตระกูล สองบัญชีธนาคารของพ่อแม่ ไม่ใช่แค่สองคนที่รักกันอีกต่อไป” ดร.ฟิลบี บอกเล่าผ่าน Newsweek
Inheritocracy มรดกชนะความรัก? เมื่อโอกาสไม่ได้มาจากความขยันอีกต่อไป
รายงานชี้ว่า เด็กรุ่นใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากครอบครัวเพื่อผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน แต่งงาน หรือเลี้ยงลูก โดยเฉพาะ Gen Z ที่เติบโตมากับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และเห็นแล้วว่าความฝันแบบคนรุ่น Gen Y ที่ว่า “เรียนให้ดี ทำงานตามฝัน แล้วชีวิตจะมั่นคง” นั้น แต่ในความเป็นจริงยุคนี้มันกลับสวนทาง
“เราเคยคิดว่าแค่มีการศึกษาสูงๆ จบมหาวิทยาลัยดีๆ และทำงานหนัก ก็จะประสบความสำเร็จ แต่วันนี้ โอกาสของชีวิตกลับขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าถึงเงินของพ่อแม่ได้แค่ไหน” ดร.ฟิลบีอธิบาย
ข้อมูลผลสำรวจจาก Redfin ปี 2024 พบว่า คน Gen Z กว่า 78% ได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวในการวางเงินดาวน์บ้าน และหลายคนมองว่านั่นคือหนทางเดียวที่ทำให้มี “บ้านเป็นของตัวเอง” ได้
ในขณะเดียวกัน เงินสะสมในธนาคารของพ่อแม่ยังกลายเป็นปัจจัยสนับสนุนอันดับต้นๆ ของอีเวนต์สำคัญในชีวิตคนรุ่นลูก ตั้งแต่การจัดงานแต่งงาน งานรับขวัญหลาน ไปจนถึงช่วยจ่ายค่าบัตรคอนเสิร์ต Taylor Swift ที่ ดร.ฟิลบี มองว่า “พ่อแม่แทบเป็นผู้สนับสนุนหลักเลยทีเดียว”
เมื่อความรัก-การแต่งงาน ต้องมี “ฐานะที่ดี” ของคู่ครองพ่วงมาด้วย
ดร.ฟิลบี เตือนว่า ปรากฏการณ์นี้กำลังเปลี่ยนทัศนคติของคนรุ่นใหม่ต่อความรัก พวกเขาไม่เพียงมองหาความเข้าใจ แต่ยังมองหาความมั่นคงทางการเงิน และความมั่งคั่งที่อาจจะไม่ได้อยู่ในบัญชีของคู่รัก แต่เป็นบัญชีพ่อแม่ของคู่รักแทน
“คนรุ่นใหม่ไม่ได้มองอาชีพการงานเป็นเครื่องมือเติมเต็มชีวิตอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการเลือกคู่ครองด้วย พวกเขาคาดหวังความมั่นคงจากทั้งงานและคู่ชีวิตควบคู่กัน”
เธอเปรียบเทียบว่า ตลาดการแต่งงานยุคนี้คล้ายโลกในนิยายของ เจน ออสเต็น (นักเขียนชาวอังกฤษต้นแบบนิยายรักโรแมนติกแบบ Realistic) ที่นำเสนอว่าพ่อแม่มีบทบาทต่อชีวิตรักของลูกๆ เพราะพวกเขา “ร่วมลงทุน” กับทุกอย่างในชีวิตลูก ไม่ว่าจะเป็นค่างานแต่ง ค่าบ้าน หรือแม้แต่การเลี้ยงหลาน ทำให้การแต่งงานยิ่งมี “เดิมพันทางการเงิน” สูงขึ้น และแนวโน้มการหย่าร้างในกลุ่มคนมีฐานะก็ลดลงตามไปด้วย
นอกจากนี้ ยังเกิดเทรนด์ใหม่อย่าง Quiet Luxury ที่สะท้อนการเติบโตของ Inheritocracy คนกลุ่มนี้มักสะท้อนตัวตนผ่านแฟชั่นแนว “เรียบหรูแบบไม่ตะโกน” ไม่เน้นโชว์โลโก้แบรนด์ แต่เน้นวัสดุดี งานเนี๊ยบ และการสื่อถึงฐานะที่ "สืบทอดมา" (Old Money) ไม่ใช่ “สร้างเอง” (New Monney)
“คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยพยายามแต่งตัวให้เหมือนคนรวยแบบ Old Money แม้จริงๆ แล้ว ตัวเองจะไม่ใช่คนมีฐานะแบบนั้นเลยก็ตาม” ฟิลบี อธิบาย และชี้ว่า Quiet Luxury ไม่ใช่แค่สไตล์ แต่คือการแสดงสถานะที่คนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันถึง
การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคน เมื่อครอบครัวคือระบบเศรษฐกิจของทั้งบ้าน
ฟิลบีเตือนว่า ปรากฏการณ์นี้อาจยิ่งถ่างช่องว่างความเหลื่อมล้ำให้กว้างมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในช่วง 20 ปีข้างหน้า ที่จะเกิด “การถ่ายโอนทรัพย์สินครั้งใหญ่” (Great Wealth Transfer) คาดว่าจะมีทรัพย์สินระหว่าง 68-84 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราวๆ 2,200 - 2,800 ล้านล้านบาท) ถูกส่งต่อจากคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ไปยังรุ่นลูกหรือรุ่นหลาน
“มันไม่ใช่แค่เรื่องของมรดกอีกต่อไป แต่กลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่ทั้งการซื้อบ้าน การมีลูก การเรียนมหาวิทยาลัย ล้วนต้องพึ่งพาเงินจากครอบครัว”
แต่ในขณะที่ทรัพย์สินไหลลงมาสู่รุ่นลูก การดูแลพ่อแม่สูงอายุก็เริ่มไหลย้อนกลับ เด็กยุคนี้ต้องอยู่ใกล้บ้านเพราะไม่เพียงพึ่งเงินพ่อแม่ แต่ยังต้องดูแลพวกเขาในอนาคต กลายเป็นว่าครอบครัวแต่ละบ้านจะมีคนหลายรุ่นอยู่อาศัยร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ด้วยความจำเป็นและความคาดหวังต่อกันและกัน อีกทั้งในประเด็นของการแต่งงานผู้เชี่ยวชาญมองว่า “การแต่งงานเพราะความรัก อาจไม่พออีกต่อไป”
แม้หลายคนจะรู้สึกอึดอัดที่จะพูดเรื่องการพึ่งพาครอบครัว แต่ ดร.ฟิลบี เชื่อว่า ถึงเวลาเปิดเผยความจริงนี้อย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในสังคมที่ยังเชิดชูแนวคิด “สร้างตัวด้วยสองมือ” หรือ self-made
อย่างไรก็ตาม ดร.ฟิลบี ทิ้งท้ายไว้ให้คิดว่า “นี่ไม่ใช่แค่เรื่องความเหลื่อมล้ำ แต่คือเรื่องความยุติธรรมด้วย ถ้าใครไม่มีครอบครัวที่ร่ำรวย พวกเขาจะมีที่ยืนในสังคมนี้ได้ยังไง?”







