Deep Work วันละ 1 ชม. ใช้เวลาทำงานน้อยลงแต่ Productivity ดีกว่าเดิม

เปิดเคล็ดลับทำงานเสร็จไว ด้วยเทคนิค Deep Work แค่วันละ 1 ชั่วโมง เปลี่ยนชีวิตทั้งระบบได้จริง! ช่วยให้ใช้เวลาทำงานน้อยลงแต่เห็นผลลัพธ์มากขึ้น Productivity ดีขึ้น
KEY
POINTS
- Deep work คือการทำงานเชิงลึกแบบมีสมาธิสูง ทำแค่วันละ 1 ชั่วโมง ก็สร้างผลลัพธ์ที่ทรงพลังได้มากกว่าการทำงานนาน 10 ชั่วโมง แต่สะเปะสะปะ เทคนิคนี้ช่วยให้งานเสร็จเร็ว ปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์ และให้ความสงบในใจ
- เมื่อทำ Deep Work จนคุ้นชิน สามารถเปลี่ยนวัยทำงานจากที่เคยรู้สึกตามไม่ทัน ให้กลายเป็นคนที่ควบคุมเวลาได้จริง ทำสิ่งสำคัญก่อน และมีพลังในการตัดสินใจและนำทีมด้วยความชัดเจนมากขึ้น
- เริ่มง่าย ไม่ต้องรอ แค่ตั้งใจจริงและวินัย ไม่จำเป็นต้องมีเวลาว่างเยอะ แค่เริ่มด้วยการกันเวลา 1 ชั่วโมงต่อวัน ตั้งกฎลดสิ่งรบกวน ทำซ้ำๆ ก็สามารถสร้างนิสัยที่เปลี่ยนชีวิตได้ในระยะยาว
เหนื่อยกับการต้องรับมือหลายอย่างพร้อมกันจนสมองล้า? ลองหยุดทุกสิ่ง แล้วโฟกัสแค่ “งานเดียว” ให้สุดทางวันละ 1 ชั่วโมง วิธีนี้กลายเป็นสูตรลับที่ผู้บริหารระดับสูงหลายคนเลือกใช้ เพื่อคืนอำนาจในการควบคุมเวลา ความคิด และเป้าหมายให้กับตัวเอง
ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวน ทุกคนต่างถูกเรียกร้องให้ “ตอบกลับ” แชตกลุ่มทำงานแชตที่เด้งถี่กว่านาฬิกา ข้อความ อีเมลที่ส่งเข้ามาไม่หยุด ประชุมหลายวง หรือปฏิทินงานที่แน่นตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้แม้แต่คนเก่งที่สุดก็ยังรู้สึกว่า “มีเวลาแค่ไหนก็ทำงานไม่ทัน”
อย่างไรก็ตาม มีเคล็ดลับการทำงานอย่างหนึ่งที่จัดการความวุ่นวายเหล่านี้ให้ดีขึ้นได้ ยืนยันจาก "ออลลี เจ" (Olly Jay) โค้ชผู้บริหารระดับสูง ที่เชี่ยวชาญการบริหารฟังก์ชันไลฟ์สไตล์ และการบริหารเวลาเพื่อควบคุมชีวิตของตัวเองได้อีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวได้แชร์ประสบการณตรงของเขาจากการทำ “การทดลองเล็กๆ” อย่างหนึ่ง
ด้วยการกำหนดเวลาวันละ 1 ชั่วโมงติดต่อกัน 20 วัน เพื่อทำสิ่งที่เรียกว่า “Deep Work” หรือการทำงานแบบจดจ่อกับภารกิจสำคัญเพียงอย่างเดียวโดยไร้สิ่งรบกวน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ ไม่ใช่แค่ช่วยให้เขาทำงานสำเร็จเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนมุมมอง ความมั่นใจ และตัวตนของเขาไปโดยสิ้นเชิง
“Deep Work” คืออะไร?
แคล นิวพอร์ต (Cal Newport) ผู้เขียนหนังสือ Deep Work เคยกล่าวไว้ว่า “Deep Work คือสุดยอดพลังของศตวรรษที่ 21” เพราะมันไม่ใช่แค่การนั่งทำงานเงียบๆ แต่คือการใช้พลังสมองอย่างเต็มที่กับภารกิจที่ต้องใช้ความคิดขั้นสูง โดยไม่มีการขัดจังหวะ ไม่ตอบแชต ไม่สลับหน้าจอ ไม่เปิดอีเมล งดการเรียกประชุม
สำหรับผู้บริหารหรือผู้ประกอบการ Deep Work อาจหมายถึง การวางแผนกลยุทธ์องค์กร, การเขียนสุนทรพจน์หรือข้อเสนอให้ผู้ลงทุน, การออกแบบระบบที่ช่วยลดภาระซ้ำซ้อน หรือแม้แต่ "การเขียนไดอารี" เพื่อให้เข้าใจความคิดของตนเอง
ทั้งนี้อย่าสับสนว่าการทำงานแบบนี้คือการทำงานยุ่ง เพราะ Deep Work ตรงข้ามกับ Busy Work ส่วนใหญ่งานยุ่งมักจะเป็นงานจุกจิกที่กินเวลามาก แต่กลับไม่ส่งผลลัพธ์สำคัญใด ๆ
ทดลอง Deep Work 1 ชม. ติดกัน 20 วัน เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล
สำหรับโค้ชผู้บริหารระดับสูงอย่าง ออลลี เจ ในฐานะผู้เขียนและผู้ทดลองทำเทคนิคนี้จริง เขาได้วางแผนการทำ Deep Work เป็นเวลา 20 วัน พร้อมกับบันทึกผลลัพธ์ในระยะเวลาต่างๆ ในช่วงทดลอง ดังนี้
สัปดาห์แรก: รู้สึกต่อต้านมัน แต่อย่าท้อถอย
แม้จะกำหนดเวลาแค่ชั่วโมงเดียวต่อวัน ฟังดูเหมือนทำง่าย แต่ผู้เขียนเล่าว่าช่วงแรกกลับรู้สึกอึดอัด สมองพยายามหาทางหนี ไปหยิบมือถือ หรือเปิดแท็บเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวกับงาน หรือแม้แต่คิดเรื่องอื่น ทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติของคนในยุคดิจิทัล
แต่เมื่อผ่านวันที่ 4 ไปได้ ความชัดเจนเริ่มกลับมา เขาสามารถทำโปรเจกต์ที่ดองไว้หลายสัปดาห์ให้เสร็จภายในครั้งเดียว และเขาตระหนักว่า “ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีเวลา...แต่ฉันลืมวิธีปกป้องเวลาต่างหาก”
สัปดาห์ที่สอง: ยิ่งโฟกัส = ยิ่งมีอิสระ
เมื่อสมองและร่างกายเริ่มเข้าที่เข้าทาง และคุ้นชินกับ Deep Work แล้ว มันกลายเป็นช่วงเวลาที่เขารอคอยที่สุดในแต่ละวัน เพราะมันเป็น “เวลาของตัวเอง” อย่างแท้จริง ไม่มีใครโทรมา ไม่มีใครแทรก ไม่มีอะไรขัดจังหวะ และเขาพบว่าเขาสามารถทำงานเสร็จได้เร็วขึ้นกว่าที่เคย ภายใน 1 สัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็น
- เขียน Sales Page ที่เคยใช้เวลา 2 สัปดาห์ให้เสร็จใน 2 ชั่วโมง
- คิดโมเดลโค้ชชิ่งแบบใหม่ในเวลาอันสั้น
- สร้างคอนเทนต์ที่ดึงลูกค้าใหม่มา 3 ราย โดยไม่ต้องซื้อโฆษณา
เขาสรุปได้ว่าในช่วงระยะเวลานี้ สิ่งที่ได้มากกว่าผลลัพธ์ด้านการทำงานก็คือ ความรู้สึกว่า “ฉันควบคุมเวลาได้” และวันทำงานที่เคยหนัก ก็กลายเป็นวันที่จบลงด้วยความพอใจแม้จะไม่ได้ทำทุกอย่าง
สัปดาห์ที่สาม: เปลี่ยนตัวตน เปลี่ยนชีวิต
เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่สาม ออลลี เจ รู้สึกว่าการทำ Deep Work ไม่ใช่แค่เทคนิคการทำงาน แต่เปลี่ยนวิธีมองตัวเองด้วย เขาเผยว่า “สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่แค่งานที่ฉันทำได้…แต่คือคนที่ฉันกลายเป็น” ยกตัวอย่างเช่น
- เขาเลิกเป็นคนที่ตอบสนองสิ่งเร่งด่วนอยู่ตลอด
- เลิกให้ตารางงานเป็นตัวกำหนดคุณค่าของตนเอง
- ตัวเองกลายเป็นผู้นำของงาน เวลา ชีวิต และความคิด
วิธีสร้างนิสัย Deep Work สำหรับคนทำงานที่ยุ่งที่สุด
1. กำหนดเวลาตายตัว: เลือก 1 ชั่วโมงในแต่ละวัน (เช้าเหมาะที่สุด) แล้วตีกรอบเวลาให้ชัดเจน
2. เลือกงานสำคัญไว้ล่วงหน้า: ไม่ใช่งานประเภทตอบอีเมลหรือการเข้าประชุม แต่ต้องเป็นงานที่ “คิดแล้ว ทำแล้ว เกิดผลลัพธ์ไปได้ไกล”
3. ตัดสิ่งรบกวนทั้งหมด: ปิดแชต มือถือ บล็อกเว็บ ใช้แอปช่วยตัดสิ่งรบกวน อย่างเช่น Forest หรือ Freedom
4. ติดตามความต่อเนื่อง: ใช้ปฏิทิน เครื่องหมาย X หรือลูกแก้วในโหล ช่วยให้เห็นความก้าวหน้า
5. ทบทวนทุกสัปดาห์: ถามตัวเองว่าได้อะไรจากช่วงเวลานั้น และจะปรับอะไรในสัปดาห์ต่อไป
เมื่อทำตามขั้นตอนต่างๆ ข้างต้นได้สำเร็จแล้วคุณจะพบว่าผลลัพธ์ที่ได้มานั้นที่เกินความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็น เลิกรู้สึกผิดเวลาหลังเลิกงาน (เพราะรู้ว่าตัวเองทำ “สิ่งสำคัญที่สุด” ไปแล้วจริง ๆ) หรือทำให้คุณตัดสินใจเร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น (เพราะสมองไม่ได้เหนื่อยจากการตอบสนองตลอดวัน) รวมไปถึง เป็นคนที่สงบนิ่งต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีที่สุด (เพราะไม่ได้ปล่อยให้โลกควบคุมพลังใจของตัวเองอีกต่อไป)
แล้วถ้าไม่มีเวลาเลยล่ะ จะทำ Deep work ได้ไหม?
โค้ชผู้ทดลองทำตามเทคนิคนี้ตอบชัดว่า ทำได้แน่นอน โดยไม่ต้องหาเวลาว่าง 1 ชั่วโมงเต็ม แต่เริ่มจากแค่ 25 นาที ก็ยังได้ เพราะสิ่งสำคัญคือ “ความตั้งใจ ไม่ใช่ระยะเวลา”
อีกทั้ง หากคุณกังวลว่าคนอื่นจะมาขัดจังหวะ Deep work ของคุณ ควรทำอย่างไร? เรื่องนี้คุณจะต้องแจ้งคนรอบข้างล่วงหน้า หากคุณเป็นผู้นำทีมก็ตั้งกฎให้ทีมรู้ เช่น “ฉันจะโฟกัสงานระหว่าง 8:30 - 9:30 น. อย่านัดประชุมช่วงนี้” แล้วทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางได้เอง
ไม่เพียงเท่านั้น ข้อควรรู้ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ อย่าเข้มงวดเกินไป หากคุณพลาดการทำ Deep work ไปวันหนึ่ง ก็ไม่เป็นไรเลย แต่ห้ามพลาดสองวันติด!
เพราะถ้าขาดสองครั้งติด…มันจะกลายเป็นนิสัยใหม่ (ที่คุณไม่ต้องการ) โปรดจำไว้ว่า.. ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวน คนที่ “โฟกัสได้” คือคนที่ชนะ
เมื่อฝึกทำมันจนเคยชิ้นแล้วก็จะค้นพบว่า คุณไม่ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น แต่คุณต้อง “ปกป้องความสนใจของตัวเอง” เหมือนเป็นสมบัติล้ำค่า เพราะมันคือสมบัติล้ำค่าจริงๆ สุดท้ายแล้ว การทำ Deep Work ไม่ใช่แค่เรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพงาน แต่มันคือเรื่องของการกลับมาเป็นเจ้าของเวลาและตัวตนของคุณเองได้อีกครั้ง เท่านี้…ก็เพียงพอให้ชีวิตทำงานของคุณเปลี่ยนไปตลอดกาล